Dienstag, 19. Februar 2008

Our Deepest Condolescence

Our Deepest Condolescence


We all have
admired,
sympathized,
and been
inspired by
our Royal
Highness
Princess Galyani
Vadhana for
so long,
Our condolences
and prayers
go out to the
royal family
in the death of
our Royal
Highnesses
Princess
It is quite
hard to
find words of
comfort on such
a sad day.
Our princess
is still
and always
in our heart.

Payabanpladthin

Sonntag, 17. Februar 2008

Interview-Lampa Holm (Danemark)





ชื่อ คุณ ลำพา โฮมห์ ( Lampa Holm)
โฮมเพจ http://www.scannurse.dk/index.htm


contact Lampa Holm at:
Mail: LTH.ScanNurse@gmail.com
Phone: +45 2513 5192
Languages: Thai, English and Danish

ผลงานดีเด่นทางสังคม

ได้รับรางวัลชนะเลิศ INTERNATIONAL CIRCOM GRANPRIZ 2007 ใน วันที่ 11พฤษภาคม
ในปีนี้ที่ประเทศสเปน ณ กรุง
BILBAO , GUGGENHEIM MUSEUM.ซึ่งรายการสารคดีนี้มีชื่อว่า "
FANGET SOM LUDER"
หรือ "SOLD FOR NOTHING"

ชมการออกรายการรับรางวัลของคุณลำพา โฮมห์ได้ที่

http://www.tv2regionerne.dk/reg2005/?id=364211&r=7


คุณลำพา โฮมห์ เป็นพยาบาลไทยซึ่งย้ายมาปักหลัก อาศัยและทำงานอยู่ ณ

ประเทศเดนมาร์ก หลายปีและเป็นพยาบาลไทยท่านแรกที่ได้จัดทำธุรกิจ
นำพยาบาลไทยมาทำงาน ณ ประเทศเดนมาร์ก ก่อให้เกิดความสนใจ และ
การคาดคะเนไปต่างๆนานๆ ในวงการพยาบาลไทยในขณะนี้

ทาง กลุ่มพยาบาลพลัดถิ่นจึงขอความกรุณาคุณลำพา ให้ช่วยแจงข้อมูล และได้รับ

ความร่วมมือจากคุณลำพาเป็นอย่างดี

บทความเหล่านี้เขียนโดยคุณลำพาค่ะ โดยที่บางปัญหา หรือคำถาม ทางเจ้าของเว็บได้ประมวลมาจากพยาบาลไทยในประเทศไทยซึ่งฝากให้ถาม




พี่ตูนต้องขอโทษด้วยนะคะที่ตอบคำถามที่ถามมาให้ช้าไปหน่อย ทราบค่ะว่ามีหลายๆคนที่ตั้งตารอ

คำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อ แต่ตอนนี้มีเวลาแล้ว และพี่ก็ยินดีที่จะตอบคำถามที่พี่ๆและน้องๆขอมาค่ะ

โดยไม่มีการปิดบังและนี่ก็คือชีวิตที่แท้จริงของพี่ทั้งหมดค่ะ โดยไม่มีการเติมสีหรือแต้มสิ่งใดๆลงไป

ทั้งสิ้น และไม่ได้อับอายในสิ่งที่เล่ามาให้พี่ๆและน้องๆฟังด้วยค่ะ เพราะอยากให้พี่ๆและน้องๆเป็นคน

ที่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นจริงและไม่ต้องกลัวกับการเปิดเผยตัวเอง ถ้าเรารู้ว่าเราอยู่จุดไหน และกำลังทำ

อะไรอยู่ในขณะนี้ เพราะพี่ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่เราได้สัมผัสมาด้วยตัวของตัวเอง และ

ประสบการณ์เหล่านี้ก็สามารถเป็นสิ่งที่เรานำมาเป็นตัวอย่างที่ดี หรือเลวได้ หรือให้น้องๆได้เลือก

อาว่าสิ่งไหนควรเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในอนาคตหรือเป็นอุทาหรณ์สอนใจตัวเองได้ไม่

มากก็น้อย อย่างน้อยประสบการณ์เหล่านี้คงมีประโยชน์ให้น้องได้บ้าง สำหรับการที่เราจะ

มามีชีวิตอยู่ในต่างแดนเช่นเดียวกับพี่และคนไทยอื่นๆอีกหลายคน

1. ประวัติส่วนตัว

พี่เองเป็นคนจังหวัดสุโขทัยค่ะ มีบ้านเกิดอยู่ที่ บ้านเลขที่ 164/4

.กลางดง .ทุ่งเสลี่ยม. . สุโขทัย มีพี่น้องทั้งหมดสี่คน และพี่เองก็เป็นลูกสาวคนที่สอง

มีพี่สาวหนึ่งคน และน้องชายอีกสองคนค่ะ พี่เกิดปีเถาะ ๒๕๐๖ ตอนนี้อายุได้ 44 ปีค่ะ

แต่งงานกับชาวเดนมาร์ก อายุต่างกัน 5 ปีมีอาชีพเป็นนักธุรกิจค้าบ้านและที่ดิน

และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน ชาย 1 หญิง 2 อายุตอนนี้ก็ได้ 12, 10, 5 ขวบค่ะ และตอนนี้พี่ก็อยู่ในสถานะภาพของการหย่าร้าง

อยู่กับลูกๆอย่างมีความสุขไม่แต่งงานอีก มีบ้าน มีรถ มีบริษัท มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง

ประวัติการศึกษา

1982 จบการศึกษาด้านการพยาบาล PN และเข้าบรรจุงานทึ่

รพ. เปาโลเมมโมเรียลและโรงพยาบาลเอกชนหลายๆแห่ง

ในกรุงเทพฯ

1985 จบการศึกษาปริญญาตรีด้านครุศาสตร์บัณฑิต เอกภาษาอังกฤษ

โทนาฏศิลป์

1985 เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาที่ ร..

. ทวีธาภิเษก

1987- 1989 เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับชาวอพยพที่มา

จากนานาชาติ

ที่ WESTVIEW SECONDARY SCHOOL, ONTARIO, CANADA

1989 - 1993 เป็นล่ามให้กับ Dansk Flygtningehjælp หน่วยช่วยเหลือชาว

อพยพของเดนมาร์ก เขตจัทแลนด์เหนือ Nordjylland Amt, Denmark

1989 - 1993 เป็นผู้ช่วยครูและอาจารย์ Støttepædagog ในเขตจัทแลนด์

เหนือ ของเดนมาร์กในการแก้ไขปัญหา ด้านพฤติกรรมของเด็กไทย

1989 - 1993 เป็นผู้ช่วยนักจิตวิทยา Støttepsykolog เกี่ยวกับการ

ช่วยเหลือด้านพฤติกรรมของเด็กและสตรีไทย

1989 -1995 ทำพจนานุกรม เดนมาร์ก- ไทย DANSK-THAI

ORDBOG ร่วมกับ MR. DONALD SHAW และถือ

ลิขสิทธิ์คนละฝ่าย

1991 - 1992 จบเตรียมอุดมศึกษา Videregående uddannelse

1992 -1996 Bachelor Degree in Nursing Science, RN ,

Viborg Sygeplejeskole, Viborg. DK

1993 - 2008 เป็นล่ามให้กับกระทรวงยุติธรรม ด้านศาล และการสอบสวน

ของตำรวจ Tolke inden for Justitsministeriets område

1993-2008 ทำงานร่วมกับหน่วยตำรวจสากล Interpol เพื่อการต่อต้าน

การค้าประเวณีข้ามชาติของหญิงไทยที่ถูกหลอกพาตัวมา

ค้าประเวณีในยุโรป

1993 -2008 ผู้นำองค์กรอิสระเพื่อการต่อต้านการค้าประเวณี และช่วยเหลือ

สตรีและเด็กไทยในเดนมาร์ก ด้านการศาลและให้การแนะนำ

ด้านกฎหมาย

1996 - 2000 รับราชการเป็นพยาบาล Århus universitets hospital

1998 - 2000 จบศึกษาด้านการพยาบาลไอซียู

2000 - 2006 บรรจุงานเป็นพยาบาลพิเศษของบริษัทพยาบาลเอกชน

เดินทางไปทำงานที่โรงพยาบาลของรัฐแผนกไอซียู ในประเทศ

2003 - 2008 ให้การเรียนการสอนภาษาเดนมาร์กฟรีกับกลุ่มสตรีไทยใน

เดนมาร์กเพื่อการเตรียมพร้อม ก่อนเข้าเรียนในโรงเรียนสอน

ภาษา

2005 - 2006 ทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเด็กสาวไทยสองคนที่ถูกหลอกมา

ค้าประเวณีในประเทศเดนมาร์กและถูกกักขังอยู่ในห้องใต้ดิน

ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ช่อง ๒ ของเดนมาร์ก

Dokumentar programmet " Fanget som luder "

หรือ " Sold For Nothing" TV 2

นอร์เวย์, สวีเดน และอังกฤษ

2006 - 2008 เป็นคณะกรรมการปรึกษากิตติมศักดิ์ทางด้านกฎหมายของวัด

ไทยในเดนมาร์ก

2007 เข้ารับรางวัลชนะเลิศการทำสารคดีดีเด่นของสถานีโทรทัศน์ในยุโรป

European Association of Regional Television,

The winners of Prix Circom, Guggenheim museum,

Bilbao, ประเทศสเปน

2007 - 2008 เปิดบริษัทพยาบาล Nursing Bureau เพื่อส่งพยาบาลไอซียู

ของเดนมาร์ก, นอร์เวย์, สวีเดน เข้าทำงานชั่วคราวใน

โรงพยาบาลรัฐบาลของประเทศนอร์เวย์

2007 - 2008 เปิดบริษัทพยาบาล Scandinavian Nursing Bureau

เพื่อโยกย้ายพยาบาลไทยเข้ามาทำงานในประเทศเดนมาร์ก

และบรรจุเป็นข้าราชการในโรงพยาบาลของรัฐ

ชีวิตในวัยเด็ก

พี่เป็นเด็กที่เกิดมาจากครอบครัวของชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง พ่อกับแม่พี่ไม่มีการศึกษาสูงอย่างคนอื่นเขาค่ะ เพราะการที่เป็นลูกคนจน สอบเข้าอะไรกับเขาได้ แต่เวลาสัมภาษณ์ ก็ต้องตกลำดับไปทุกครั้ง เพราะไม่มีซองสีขาวยื่นที่ใต้โต๊ะให้กับข้าราชการเหล่านั้น ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้พี่เบื่อระบบราชการไทยมากเมื่อก่อนนี้ แต่พอนายกฯท่านหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศหลายอย่างเปลี่ยนไป ลูกคนจนแต่มีสมองได้มาเรียนเมืองนอก เด็กพวกนี้ได้รับการสนับสนุนให้ได้ดีเพราะมีมันสมอง

เพราะเราไม่มีเงินในสมัยเมื่อก่อนนั้น ถึงจะเป็นเด็กที่เรียนเก่งก็จริง ตั้งใจเรียนมาก เวลาที่กลับมาจากโรงเรียนพี่ก็จะแอบเอาหนังสือขึ้นไปอ่านบนต้นไม้เพื่อจะได้คะแนนมากๆเหมือนกับเด็ก
คนอื่นๆเขา
แต่เงินไม่มี ก็มีสิทธิเพียงที่จะทำไร่ทำนาอย่างเดียว พี่ดั้นด้นชีวิตของพี่เอง อยากเรียนหนังสือหาผักผลไม้ที่ได้มาจากในไร่ของตัวเองเอาไปขายในตลาดตอนเช้าตรู่ ได้มาบาท
สองบาท ก็เก็บออมไว้เพื่อแลกกับการศึกษาทำไงได้ล่ะน้องในเมื่อเราจนเราอยากได้ดีก็ต้องทนซิ ทำงานหนักมาตั้งแต่เล็กไม่เคยได้หยุดพักเหมือนกับเด็กคนอื่นๆเขา
เวลาที่โรงเรียนหยุดก็ต้องเข้าไปในไร่เพื่อช่วยพ่อแม่หยอดเมล็ดข้าวโพด แดดร้อนมาก อยากหาร่มมา
กางก็ไม่มี เป็นเด็กอายุแค่
12 ปีต้องทำงานหนัก วันนั้นพี่จำความนึกคิดของเด็กหญิงตาดำๆ

อายุแค่ 12 ปีคนนั้นได้ว่า ตัวของเธอจะไม่ยอมอยู่ในสภาพแบบนั้นเป็นอันขาด และถ้าไม่ได้ดีก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย พ่อพี่พรรณนาอยู่ตลอดว่า ขยันไปเหอะลูกเดี๋ยวพ่อ

จะแบ่งที่ไร่ที่นาให้ พี่บอกพ่อไปตรงๆว่าพี่ไม่ต้องการที่นา และจะไม่ยอมเป็นชาวนาแน่ในชาตินี้ พี่ต้องการที่จะเป็นพยาบาลและพี่ก็จะต้องทำให้ได้อย่างที่พี่ตั้งใจไว้ พ่อพี่พูดกับพี่ว่า " เออฝันน่ะมัน
ฝันได้ลูก แต่เรามันคนจนนะลูก จะเอาเงินที่ไหนมาเรียนสูงๆอย่างเขา
" ก็อย่างที่พ่อพี่พูด เวลาที่พี่ไปโรงเรียนพี่ก็ไม่มีสตางค์ไปทานขนมเหมือนเด็กคนอื่นๆเขา เวลาพักเที่ยงวัน

เพื่อนๆชวนมานั่งวงทานข้าวด้วยกัน เราอยากนั่งแต่ก็อายเพื่อนๆ เพราะเราห่อข้าวกับ
เกลือและพริก สองสามเม็ด จะบอกปัดเพื่อนไปตลอดว่าเราทานแล้ว

ไม่หิว ปวดท้องเพราะทานเผ็ดไม่ค่อยได้เพราะยังเด็กอยู่ ขนาดอายุได้
16 อยู่โรงเรียนมัธยมก็ยังไม่มีเงินไปทานขนมที่โรงเรียน แต่ก็ไม่เคยบ่นกับพ่อแม่เลยสักนิดเพราะเรารู้ดีว่าพ่อแม่จะคิดมากและจะเสียใจที่ทำอย่าง
ผู้ปกครองอื่นไม่ได้ พี่ทนทุกอย่างจนจบมัธยมศึกษาชั้นสูงที่โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม และดั้นด้นเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อเข้าไปเรียนต่อ

ชีวิตในกรุง

เข้ากรุงเทพฯหาเงินเรียนจนจบ เข้าทำงานที่ รพ. แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเป็น PN อยู่ที่นั่นแต่ก็ยังไม่พอที่จะใฝ่สูงค่ะเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเพราะพี่รักเรียน และการเรียนอย่างเดียวเท่านั้นที่พี่จะสามารถเอาตัวรอดได้ในสังคม เพราะ

พ่อพี่ท่านจะย้ำเตือนพี่ตลอดว่า "การศึกษาก็เหมือนกับน้ำซึมบ่อทราย ใช้เท่า
ไหร่ก็ไม่มีวันหมด ใครๆเขาก็จะ
มาขโมยไปจากเราไม่ได้ " พี่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ได้เงินมาต้องส่ง
ทางบ้านเพื่อเลี้ยงพ่อแม่พี่น้อง ไม่มีเวลาที่จะได้หลับนอนกับเขา ขึ้นเวร
12 ชั่วโมงที่เมืองไทย
ตอนกลางคืนเวลา
19.00-07.00 . ออกเวรตอนเช้า ขึ้นรถโดยสารไปเรียนต่อ เวลา 08.00 . เข้าเรียนวิทยาลัยครูต่อที่กรุงธนบุรีเอกอังกฤษเพราะเป็นคนที่ชอบภาษา และเลือกเรียนโทนาฏศิลป์เพราะอยากแต่งตัวสวยกับเขาบ้าง เพราะเมื่อสมัยเป็นเด็กๆนั้นอยากให้อาจารย์เรียกไปรำหน้าเวทีกับเขาบ้าง เวลาที่เขามี
การแสดงกันในแต่ละปีที่ ร
...จัดขึ้นมา เพราะคนอื่นๆจะได้เอาไปพูดกันว่า ลูกลุงหรือยาย
นั้นน่ะด้รับคัดเลือกให้รำกับเขาด้วยนะปีนี้น่ะ
แต่ก็ไม่เคยได้รับคัดเลือกสักทีเพราะเรา
ไม่ใช่ลูกข้าราชการถึงจะแต่งตัวสะอาดอย่างไรก็แล้วแต่ในวันนั้นแต่พี่ก็ไม่เคยได้รับคัดเลือก
กับเขาเลยสักทีเพราะไม่ใช่ลูกครูหรือข้าราชการอื่นๆ
พี่ก็เลยเอากีฬาเป็นหลัก เป็นตัวเก็งนักกีฬา
บาสเกตบอลของ ร
... สุโขทัยวิทยาคม เป็นตัวแทนนักจักรยานทีมชาติไปแข่งที่ประเทศสิงคโปร์ เอาทั้งเรียนและกีฬาเข้ามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของช่วงวัยแรกรุ่นเพื่อบังคับตัวเองให้อยู่ใน
กรอบและเพื่อไม่ให้ตัวเองออกนอกลู่นอกทาง หรือเมื่อเห็นแสงสีแล้วจะได้ไม่ตื่น จนลืมการเรียนไป หรือจนกลายเป็นคนที่เสียผู้เสียคนไป เพราะเราเป็นเด็กบ้านนอก

พอเข้าเรียนวิทยาลัยครูพี่ก็เลยเรียนวิชาโทนาฏศิลป์นี้ให้มันสมใจไปเลย พอได้แต่งตัว

ชุดนาฏศิลป์รำกับเขาแล้ว และในที่สุดก็เบื่อ เพราะเราได้มันมาแล้วในสิ่งที่เราไม่ได้รับในสมัย
ที่ตอนเป็นเด็ก
เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นตัวเก็งให้วิทยาลัย เล่น
จักรยานเขตให้เขต
6 ก็ชนะมาแล้ว เป็นนักจักยานเขตมีคนรู้จักเราแต่เราไม่รู้จักเขาเพราะเรา
ไม่สนลุยอย่างเดียว เพื่อหาจุดยืนของตัวเองในชีวิต
ช่วงที่เรียนครูก็รับจ้างเป็นอาจารย์สอน
ภาษาอังกฤษให้กับลูกคนรวย ตอนเย็นสี่โมงเย็นเลิกเรียนแล้วต้องวิ่งขึ้นรถเพื่อไปสอนภาษาให้ลูกศิษย์ให้ทัน พอตกกลางคืนก็ไปขึ้นเวรต่อที่โรงพยาบาล ได้เงินค่าสอนพิเศษที่เก็บมาได้ เป็นค่าเช่าบ้าน ค่ากิน
ค่าหน่วยกิจ ค่าหนังสือ แถมยังต้องส่งทางบ้านอีกเพราะพวกเขารอเราคนเดียว
อดทนมากค่ะ
น้ำหนักแค่
43 กิโลเอง เพราะจากการที่ได้นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อต้องการบรรลุผลในการสำเร็จด้านการศึกษาที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ในชีวิต
พอผอมมากเพราะทำงานหนัก รับปริญญาก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเราลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว

ไม่มีการเหลียวหลัง และพ่อแม่ไม่เคยเดือดร้อนด้วยเรื่องเงิน เพราะเราสู้ และอีกอย่างชาวบ้านก็
ไม่เคยมองพ่อกับแม่พี่ว่า ท่านมีเงินพอที่จะส่งลูกเรียนได้ เพราะแค่หาเช้ากินค่ำ ท่านก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว แถมบางครั้งต้องไปยืมเงินชาวบ้านเขามาใช้อีกต่างหาก เพื่อลูกๆจะได้เรียน ถึงเวลาจะส่งหนี้ก็ไม่มีให้ ชาวบ้านต้องมายืนตระโกนด่าที่หน้าบ้าน ให้ได้รับความอับอายขายหน้า เพราะไม่มีเงินคืนให้เจ้าของเงินเขา
แล้วท่านจะเอาปัญญาที่ไหนมาหาเงินเพื่อที่จะส่งให้ลูกๆ ได้เรียนสูงเหมือนกับลูกคนอื่นเขา เพราะเด็กบางคนในสมัยก่อนที่เข้าเรียนได้อาชีพดีๆ ส่วนมาก จะเป็นบุตรของข้าราชการ หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่พ่อแม่รู้จักกับคนในวงราชการ ที่พี่พูดนี่พี่หมายถึงในเขตบ้านนอกที่พี่ประสบ
มาในวัยเด็ก เท่านั้น ไม่ใช่ที่อื่น

เฉพาะพ่อแม่พี่เองคงไม่มีปัญญาที่จะส่งพี่เรียนได้ ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่อาจจะ
ไปขายตัวมา ถึงได้ผอมอย่างนี้เหลือแต่ก้าง พวกเขาไม่รู้ว่าเราทำงานหนักแค่ไหน พี่ไม่แคร์เพราะเรารู้ตัวเราเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และสักวันหนึ่งชาวบ้านคงรู้ว่าเราเป็นใคร
ทำอะไรที่ไหน แต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น และตอนนี้ก็ได้ประจักษ์
กับคนทั้งหลายแล้วว่า การที่พี่หายไปเป็นเวลานานนั้น ผลที่ออกมาเป็นไปในทางลบอย่างที่เขาพูดกัน หรือออกมาในทางบวก ที่ผู้ปกครองของเด็กหลายๆคนและเด็กๆหลายๆคนในหมู่บ้านต้องการ
จะเอามาเป็นตัวอย่าง ในการต่อสู้เพื่อการศึกษาและอนาคตที่ดี ในภายภาคหน้า

อุดมคติ

จบแล้วอยากใช้วิชาการของตัวเองไปช่วยเหลือคนอีสาน เพราะมีใจรักคนที่นั่นมาก อยากใช้ความรู้ที่ได้รับมาทางด้านการพยาบาลและครูกับคนยากคนจนทางชนบทหรือ

บนดอยทางภาคเหนือ เพราะเขาเป็นคนจนที่ไม่มีจะกินกันในสมัยก่อนโน้น

ตอนที่เป็นพยาบาลอยู่นั้นได้เห็นเด็กอีสานตาดำๆที่เข้ามาทำงานกันในกรุงเทพฯ ถูกเอา
รัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความยุติธรรมในด้านการรักษา เช่นเด็กที่ถูกไฟฟ้าช็อตบริษัทที่เป็นนายจ้างไม่ยอมเสียค่าประกันให้ และบริษัทก็เกี่ยงพร้อมทั้งพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเสียค่าชดเชยให้
เด็กไม่ได้รับการ
รักษาอย่างที่ควรได้รับ ความคับแค้นมีอยู่ในใจพี่มาตลอดเรื่องการมองข้ามในเรื่องคุณค่า
ของความเป็นคน พี่ต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับหมอในเรื่องที่จะหยุดการรักษาเด็ก เหตุเพราะ
เขาไม่มีเงินค่ารักษา และจะปล่อยให้เด็กเสียชีวิต ต่อหน้าพี่นั้นพี่ทำไม่ได้
มีอย่างเดียวที่จะ
ช่วยเด็กได้คือขโมยยา และน้ำเกลือของโรงพยาบาลให้เด็ก และไม่เขียนไปในชาร์ทว่าเด็ก

ได้การรักษาไปเท่าไหร่แล้ว ญาติคนไข้กราบขอบคุณที่เท้าเหมือนเราเป็นเทวดา แต่ไม่เลยบอกท่านไปว่าพี่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเอง และอาการเด็กดีขึ้นเพราะเราขโมยยาของ รพ.
ให้กับเด็กที่ด้อยกว่า มีความรู้สึกที่ผิดมาตลอดเรื่องการขโมยของคนรวยมาให้กับคนจน

แต่เมื่อกลับมาคิดอีกที ถ้าทำไปแล้วทำให้คนมีชีวิตต่อไปได้ก็จะทำ

เพื่อนๆรุ่นพี่และหมอๆเห็นว่าพี่เป็นเด็กนิสัยดี ตลก น่ารัก ร่าเริง ยุติธรรม เป็นตัวของตัวเอง แต่บางคนก็ว่าเราเป็นเด็กหัวแข็ง วันหนึ่งโดนเรียกให้เข้าไปคุยกับหมอใหญ่ และก็ได้รับ

การแนะนำว่า " คนอย่างเธอนี่นะลำพา เป็นคนที่มีอุดมคติ และมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง อุดมการณ์ที่เธอมีอยู่น่ะมันกินไม่ได้หรอกนะเพราะที่นี่ไม่ต้องการ คนอย่างตูนน่ะเหมาะที่จะ
เป็นนักสู้ที่อีสาน หรือบนดอยหรือในป่าลึกๆ หรือไม่ก็ไปอยู่ที่เมืองนอกไปเลย เพราะคนแบบนี้
ฝรั่งเขาชอบกัน เพราะฝรั่งเขาก็หัวแข็งกันอยู่แล้ว
" ท่านพูด คุณหมอท่านได้เสนองานใหม่ให้พี่ออกไปเป็นพยาบาลพิเศษเฝ้าไข้ให้กับเพื่อนของหมอเอง
พี่บอกหมอท่านไปว่า
" ไม่ล่ะค่ะหมอในเมื่อคนอย่างดิฉันไม่เหมาะสำหรับที่นี่ เพราะมาขัดผล
ประโยชน์ของคุณหมอ ดิฉันก็ไม่จำเป็นต้องที่จะต้องไปทำงานที่อื่นเพื่อหมออีก และคนอย่างดิฉันถ้าเป็นคนที่มีอุดมการณ์แล้วที่เมืองไทยมันใช้ไม่ได้ก็จะเอาไปใช้ที่เมืองนอก ถ้าตราบใดที่ดิฉันยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันก็จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และจะเอาผลงานมาฝาก
หมอว่าไปถึงไหน
" หมอหัวเราะและย้ำต่อ " มีเงินเหรอที่จะไปเมืองนอกน่ะ ไม่หรอกค่ะเงินน่ะ แต่สมองเรายังมีค่ะคุณหมอไม่ตายซะก่อนเราคงได้ใช้มันให้ถูกที่และถูกทาง " พี่เดินออก
จากที่ทำงาน เพื่อนๆหลายๆคนที่รักพี่พากันเสียใจที่พี่ลาออก และก็ไม่เคยหวนกลับไปที่นั่น
อีกเลย ตั้งใจจะไปเป็นครูที่อีสาน หรือขึ้นดอยไปเป็นครูดอยเอาความรู้เรื่องการรักษา
ไปด้วยคงจะดี



การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ไม่มีการผวนกลับ

แต่ชีวิตต้องมาเปลี่ยนไปค่ะ เพราะสอบไปแคนาดากับเขาได้ ไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
ให้ชาวอพยพที่มาจากทั่วโลกได้ที่
Westview Secondary School ,Ontario ,
Canada
สอนที่นั่นได้ 2 ปีก็กลับมาแต่งงานกับแฟนคนแรก ที่คบกันมานานถึง 5 ปี
ที่เดนมาร์ก ตอนที่อยู่เมืองไทยพี่ไม่ค่อยได้ยินชื่อเดนมาร์ก และก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
ประเทศนี้ตั้งอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก รู้ได้อย่างเดียวคือ โคนมไทยเดนมาร์กเท่านั้น พบกับแฟนก็ตอนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่เปาโลนั่นแหละค่ะ เพราะต้องช่วยหมอแปลเวลา
ที่คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาตัว และนี่เวลาก็ล่วงลับไปแล้ว
21 ปี

ช่วงแรกๆที่จะเข้ามาอยู่ในเดนมาร์กนั้น พี่คิดตลอดเวลาว่าเราจะต้องทิ้งหน้าที่การงาน
ที่ดีอยู่แล้ว ที่แคนาดามาเหรอ เพราะงานครูสอนชาวอพยพที่เราทำอยู่นั้นก็ได้เงินมาก
มายแล้วนี่ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเดนมาร์ก และก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างใหม่หมด ถึงแม้ว่าเราจะมีการศึกษาอะไรมาก็ตามเราก็ใช้ไม่ได้

พี่คิดมากและตริตรองวันละหลายๆรอบ พี่เดินทางกลับไปกลับมาระหว่างแคนาดา
กับเดนมาร์กทั้งหมด
7 ครั้ง และในที่สุดแฟนก็ต้องขอร้องให้หยุดการเดินทางแบบ
นี้ได้แล้ว
เพราะเขาต้องการให้พี่กับเขาเป็นครอบครัวเสียที แต่ใจพี่ไม่พร้อมที่จะมี
ครอบครัวเลยตอนนั้น เพราะชีวิตการทำงานกำลังรุ่ง และอยากหาโอกาสที่จะเรียนต่อ เพราะพี่ได้กรินการ์ดของแคนาดาแล้วเพราะเราทำงาน
และเสียภาษีที่นั่น เพื่อนๆที่แคนาดาไม่เห็นด้วยในการที่จะทิ้งอนาคตไปในประเทศที่เล็กกว่า และโอกาสในการก้าวหน้าก็มีน้อยมากในตอนนั้น เพราะทางเดนมาร์กการตกงาน
ช่วงนั้นไม่มีเลย โอกาสที่จะทำงานน่ะมี คือทำความสะอาด เพราะฝรั่งเขาไม่ทำกัน
เท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะเป็นงานหนัก และผลที่ตามมาของการเจ็บไข้ได้ป่วย
คืออาการปวดหลัง หรือปวดตามไขข้อ
และหรืออาการภูมิแพ้ เพราะเนื่องมาจาก
การใช้น้ำยาเคมีในการขจัดคราบมีมาก ทำให้หลายๆคนเป็นโรคทางเดินหายใจได้

ในตอนนั้นการที่จะเข้ามาอยู่ที่เดนมาร์กมีได้อย่างเดียวคือ ต้องแต่งงาน
ใจไม่อยากแต่งเพราะอายุแค่
26 ปีและคิดว่าตัวเองยังอายุน้อยอยู่ อยากหาประสบการณ์
ในชีวิตให้มากกว่านี้ ไม่แต่งก็ไม่ได้เพราะแฟนไม่อยากให้เดินทางไปมาเหมือนว่าเล่น
และต้องการมีครอบครัวที่อบอุ่น อีกใจก็นึกว่าเพราะเราอยู่คนเดียวเหงาและดิ้นรนมา
คนเดียวตลอด ไม่มีใครเป็นที่ปรึกษาเลยนอกจากเพื่อนๆที่สนิทชิดเชื้อกันเท่านั้น จะหวังไ
ปพึ่งพวกเขาตลอดก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขามีครอบครัวกัน
ใจหนึ่งก็อยากทดลองว่า
การมีชีวิตคู่มันเป็นอย่างไรกัน ความรับผิดชอบ และอิสระภาพ คงแตกต่างกันออกไป ไม่แต่งทางการที่เดนมาร์กเขาก็ไม่ให้อยู่ในประเทศ ก็เลยต้องผสมโรงไปกับแฟนเขาด้วย ขณะที่เข้าโบสถ์รับพรกับบาทหลวงอยู่นั้น ใจนึกขึ้นมาได้อยากจะวิ่งหนีออกจากพิธีกรรม แต่ต้องห้ามใจตัวเองเพราะญาติฝ่ายแฟนนั่งเต็มไปหมดที่โบสถ์ วิ่งไปตอนนี้คงแหกหน้า
แฟนมาก

พี่สละตำแหน่งหน้าที่ของตนเองที่แคนาดา มาที่เดนมาร์กเพื่อชีวิตครอบครัวจะได้อบอุ่น
มากขึ้น เพราะความโดดเดี่ยว และความเหงาถึงทำให้ตัดสินใจได้ในการที่จะมาตั้งต้น
ชีวิตอยู่ที่เดนมาร์ก
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าแคนาดาเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและเจริญกว่า
และสิ่งล่อตาก็มีมากกว่า

ก่อนมาเดนมาร์กตอนแรกๆพูดได้ประโยคเดียวเพราะแฟนสอน Jeg elsker dig
ฉันรักเธอ
พูดให้คนเดนมาร์กฟังพวกเขาหัวเราะลั่น เพราะฟังดูแล้วตลก และแฟน
ก็หน้าแดงเพราะอาย
ยิ่งช่วงที่มาคือช่วงคริสต์มาสพอดี อากาศก็หนาวเหน็บ แม้แต่คนก็ไม่มีเดิน เพราะข้างนอกดูมืดสลัวเหลือเกิน อากาศหนาวจนมีความรู้สึกว่ามันหนาวเหน็บ
จนแทรกเข้าไปในกระดูกของเรา
ถามตัวเองตลอดว่ามาทำไมที่นี่ มาเพื่ออะไร ทำไมไม่ทำงานอยู่ที่แคนาดาก็สามารถเก็บเงินเก็บทองได้มากมายสามารถมี
เงินเป็นเศรษฐีกับเขาได้ และจะได้ไปอวดชาวบ้านเขาว่า พี่นี่ร่ำรวยแล้วนะ

เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่ พี่น่ะถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาในตอนนั้น งานที่นี่ก็ไม่มีให้ทำ
ภาษีก็แพง หาได้ร้อยให้เขาไปสี่สิบ แล้วเราจะรวยเหรอ แล้วเราจะสร้างบ้านที่เมือง
ทยอย่างที่เราตั้งใจเอาไว้ได้หรือ ภาษาก็ยาก ฟังก็ฟังไม่รู้เรื่อง
2-3 วันก็เลิกถาม
ตัวเองเพราะสัจจะก็คือสัจจะ จะไม่ให้ใครต้องมาเสียใจในคำสัญญาของเราในเมื่อ
เราตัดสินใจมาแล้ว เราก็จะไม่ถอยหลัง เหมือนการก้าวขึ้นบันได ต้องก้าวไป
ให้ถึงขั้นสุดท้าย และก็จะหยุดอยู่ที่ขั้นสูงนั้นชั่วขณะ และมองลงมาข้างล่างว่า ขั้นบันไดที่เราก้าวขึ้นมาแต่ละขั้นนั้นมันลำบากก็จริง แต่เราก็เห็นได้ว่ามันชัด
เจนกว่าเมื่อมาอยู่ถึงขั้นที่สูงสุด เพราะเรามองเห็นหลายๆอย่างได้ชัดเจนกว่า
นี่คือคติที่ติดตัวพี่มาตลอด เข้าโบสถ์แต่งงาน ช่วงที่บาทหลวงเขาถามว่า
จะรับบุคคลนี้เป็นสามีไหม อยากวิ่งออกไปไกลๆแล้วถ้าเหาะได้ก็จะเหาะไป
แคนาดาทันที แต่ก็ทำไม่ได้เพราะได้แต่คิด

ช่วงอาทิตย์แรกไม่เข้าใจพวกเขาเลยว่าพวกเขาพูดว่าอะไร ได้ยินแต่คำพูด
ลำพา แคนาดา เอ
......เขานินทาเราหรือเปล่าน้อ แต่ก็ดูที่ใบหน้าของสมาชิก
ในครอบครัวแล้วเขารักเรานี่ ไม่มีใครเกลียดเรานี่ อยากจะยืมจมูกสามีมาดม
ตลอดก็ไม่ได้เพราะไม่เข้าใจอะไรเลย หงุดหงิดนะแต่ก็ใจสู้
ลั่นวาจากับตัวเอง
ไว้ว่าเราจะต้องรู้เรื่องว่าเขาพูดเรื่องอะไร เราจะต้องอ่านได้และเขียนได้ เราจะต้องเข้าใจว่าโทรทัศน์ออกข่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าไง และ
ตอนนั้นสงครามอ่าวเปอร์เซียยิ่งเข้ามาใหญ่ อยากรู้อยากเข้าใจว่าเขา
พูดเรื่องอะไร
บอกสามีให้เลิกพูดภาษาอังกฤษด้วย เพราะเราแย่แน่ถ้า
พูดอังกฤษอย่างเดียว

บอกสามีว่าต้องการที่จะเรียนภาษาเดนมาร์ก ก็ต้องรอการเข้าเรียนเพราะ
เขารับนักเรียนครบแล้วต้องรอ ได้ซิรอก็รอเราคิด แต่ก็ไม่ท้อเรียนเองซะเลย
อ่านหนังสือ อังกฤษ เดนิช ที่ชื่อ
The way to danish มีทั้งหมด 400 กว่าหน้าอ่านและหัดสร้างประโยคเองเพราะเรามีพื้นฐานอังกฤษมา เขียนจดหมายรักให้สามียาวหนึ่งหน้ากระดาษถูกแกรมม่าหรือไม่ถูกไม่สน แต่อยากเห็นการตอบสนองของผู้ที่ได้อ่านว่าเราสื่อความหมายให้เขา
เข้าใจไหม สามีอ่านจดหมายเสร็จแล้วยิ้ม พร้อมขอบใจ สามีเล่าให้ฟังว่า
เขียนเรื่องอะไร แต่แกรมม่ายังไม่ถูกต้อง แต่เขาเดาได้ และก็ดีเพราะ
เดี๋ยวเราก็จะได้เอง

หัวใจพองโตขึ้นเป็นกอง อ้า เขาเข้าใจเรานี่ เรียนเองได้ 1 เดือนจาก 6โมงเช้าถึง
5 โมงเย็น อ่านเขียนอยู่คนเดียวใช้ครอบครัวสามีเป็นครูในการอ่านสิ่งที่เรา
เขียนให้ และการฟิตแบคกลับมาทำให้มีกำลังใจมากขึ้นทุกๆวัน ที่จะดิ้นรน
และต่อสู้
ความขยันขันแข็ง ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเท่านั้นที่จะทำให้เรา
ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้
ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานสักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าเรามีความพยายามเราก็จะประสบผลสำเร็จอย่างที่เราตั้งใจ พี่จำคำพูด
ของคุณครูและพ่อพี่พูดไว้

เข้าเรียนภาษาที่ ร... สอนภาษาให้กับชาวต่างชาติและชาวอพยพที่เข้ามา
พำนักอยู่ที่เดนมาร์ก
เข้าเรียนช่วงแรกเจอคนไทยดีใจแย่ แทบกระโดดเข้าไ
ปกราบที่เท้า เพราะเราไม่อดแล้ว เราคงได้เพื่อน และรู้แหล่งที่ซื้ออาหารไทย
เพราะ ตอนนั้นหาได้ยากมาก พี่ๆก็แนะนำและก็ดีตอบเพราะเรามาใหม่ พี่ๆเขา
ก็ชวนไปทานข้าวที่บ้าน และนานๆเข้าพี่ๆก็ชวนเล่นไพ่ ไฮโล โทรศัพท์ด่ากัน
ทะเลาะกัน นินทากัน อิจฉากันไม่หยุด ชวนกันทะเลาะยังไม่พอพี่ๆดันพาพวก
สามีของตัวเองไปทะเลาะด้วย เราก็เลยเก็บมานั่งคิด เอ
... นี่มันเป็นสิ่งที่เรา
ทำไม่เป็นนี่นา และเราก็ไม่เคยดำเนินชีวิตมาแบบนี้ ก็เลยตั้งใจเรียนอย่างเดียว
พี่ๆพากันต่อว่าและก็เรียก ให้คนอื่นได้ยิน และเราก็ได้ยินด้วยกับหูตัวเอง
อีนี่มันบ้าเรียน อย่าไปคบมัน อีบ้าเนี่ย
เรียนได้เดือนกว่าๆก็สอบได้ ภาษา
เดนมาร์กพื้นฐาน
1 และ 2อาจารย์ผู้สอนก็เลื่อนพี่ไปอยู่ชั้นสูงสุดเพราะ
เราเบื่อไม่ใช่เพราะเราหัวดี แต่เป็นเพราะว่า เวลา ที่เราเรียนอยู่นั้นเอาหนังสือ
มาศึกษาตลอด เวลาครูให้การบ้านก็รีบทำให้เสร็จ เก็บเอาภาษาที่เขาติดตาม
ข้างถนนหนทางมาจดลงในสมุด ขยัน อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจ เห็นคน
เดนมาร์กก็อยากเข้าไปคุยด้วย ตอนแรกคิดว่าเขาจะดุด่าว่าเราโง่ ไม่รู้ภาษา
แต่ที่ไหนได้ ยิ่งพูดกับเขาเขาก็ยิ่งช่วยให้ภาษาเราดีขึ้น และก็ไม่ได้รังเกียจ
ที่เรามาอยู่ในประเทศเขา การเรียนรู้นั้นอยู่ที่บ้าน มันไม่เพียงพอ หรอกค่ะ
ถ้าเราตั้งใจที่จะเป็นคนหนึ่งของสังคมเดนมาร์ก เราก็ต้องดิ้นรนเพื่อที่เราจะ
ได้เป็นตัวของตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพาใคร หรือยืมจมูกใครมาดม พี่คิดตลอด
ว่าทุกคนทำได้ถ้าเขาได้ทำ แต่คนที่ทำไม่ได้และก็ร้องโอดครวญก็มีอยู่เยอะ
เพราะเขาไม่ได้ทำ ถึงได้ทำก็จริงอยู่ แต่ก็ทำน้อยเพราะที่เห็นๆมาพี่ๆเขามีเวลา
ให้กับการด่าว่ากัน อิจฉากัน หรือการเล่นไพ่ หรือเอาเวลาไปทางอื่นมากกว่า ที่จะเรียนรู้ว่าเป็นการทำงานอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องทำ เพราะ ในเมื่อเราตั้งใจที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศเขาเราก็ต้องขยันเรียนรู้และ ถ้าเราขยัน
มันก็ต้องสำเร็จสักวัน พี่ไม่เห็นด้วยว่าใครเรียนเก่งหรือไม่เก่ง คนที่เรียนแย่หัว
ไม่ดีมาจากเมืองไทยมีถมไป มาที่นี่แล้วพวกเขาขยันกัน เรียนรู้ไม่ว่าใครแก่ใครหนุ่ม ก็เรียนรู้ได้ทั้งนั้นและก็เห็นพี่ๆน้องๆหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
เวลาที่พี่มาถึงบ้านตำราพี่ไม่ได้โยนไปไว้ที่ข้างฝา และก็ถูกเก็บขึ้นมาใช้ในตอนเช้า พี่อยากเรียนรู้ให้มากก็ต้องหาแหล่งที่มาของภาษา ทำงานเป็นผู้ช่วยดูแลคนชราที่
บ้านคนชรา ก็เป็นมาแล้ว อาบน้ำ เช็ดถู ทำความสะอาดให้คนชรา เข็นพาท่านออก
เที่ยวกัน
วิ่งไปที่โน่นที่นี่ ก็ไปมาหมดแล้ว ทำไปด้วยคุยไปด้วยก็สนุก และ
ภาษาพูดก็ดีขึ้น ช่วงที่เรียนภาษาอยู่นั้นก็เป็นล่ามให้กับทางจังหวัดที่เขต
จัทแลนด์ทางด้านเหนือ เป็นล่ามให้คนไทยและเด็กไทยที่มีปัญหาในด้าน
การเรียนการสอน และในขณะเดียวกันก็ได้บรรจุเข้าเป็น ผู้ช่วยนักจิตวิทยา
และผู้ช่วยอาจารย์ เพราะเด็กไทยบางคนที่มาเดนมาร์กแล้วมีปัญหา เรื่องของ
ความประพฤติ หรือพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ เหมือนกับเด็กที่เดนมาร์กเขา
ครูหรือนักจิตวิทยาก็คิดว่าเด็กมีปัญหา แต่จริงๆแล้วไม่ เพราะเด็กๆ ของไทยเรา
มักเข้าทาง
ประตู และยิ่งหน้าต่างห้องเรียนที่นี่ต่ำๆ เด็กไทยเล่นกระโดดออกมา
ทางหน้าต่าง ก็เลยกลายไปเป็นว่าเด็กมีปัญหา เหตุเพราะเขาไม่เคยสัมผัสสิ่ง
เหล่านี้มาก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าเด็กๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ตอนนั้นการ
เรียนรู้เรื่องเมืองไทย มีไม่มาก และที่เขาได้ยินและได้พบเห็นก็คือการแต่งงาน
กับหญิงไทย ไม่ว่าใครที่เข้ามาตอนนั้น ทุกคนจะต้องถูกโมเมว่าเป็นเมียเช่าหรือ
เมียที่คนที่เป็นเดนสังคมของเดนมาร์ก ไปซื้อมา เพราะคนที่มีการศึกษาจริงๆ
แล้วเขาไม่แต่งกับคนไทยหรอก เพราะชายพวกนี้หาคู่ที่เป็นคนเดนมาร์ก
ไม่ได้ก็เลย ไปหาคนไทย เพราะสามารถที่จะจิกหัวใช้ได้เหมือนทาส รับใช้
การเข้าใจที่ผิดๆมีมากในสมัยนั้น เดินไปไหนก็มีบางคนถามว่าโดนซื้อมาเท่าไหร่ มาจากซ่องไหนเฉพาะคนที่ไม่มีมันสมองที่จะคิดเท่านั้นนะ เราก็ตอบไปตามที่
ี่เขาต้องการที่ได้คำตอบคือ หนูมาจากพัดพงค่ะ หนูเต้นอะโกโก้อยู่ที่โน่น
และก็ชอบเอาใบมีดโกนออกมาจากช่องคลอดนะ เคยเห็นไหม และเขาก็
หยุดถาม พร้อมสะอึกในคำตอบ ไม่อยากเสียเวลาและเสียอารมณ์กับคนพวกนี้
คนที่ถามไม่ทุกคนไปหรอกค่ะ และคนที่เขามีการศึกษาก็มีมากที่เขา
ไม่ได้คิดอย่างนั้น เราโดนบ้างเป็นบางครั้ง ในที่สุดก็เลยก็เลยวางแผน
ขอเก็บเงินค่าตัวที่สามีบ้างแต่สามี ก็ไม่ยอมจ่ายค่าตัวให้เพราะเขาบอกว่า

ก็ผมไม่ได้ซื้อคุณมาที่นี่เพื่อเป็นเมียเช่าผมนี่
อ้าวเป็นงั้นไป เรานึกว่าจะได้ค่าตัวบ้างไม่มากก็น้อยเผื่อจะได้เงินเยอะๆเป็นคุณนายไปเลย
โชคไม่เคยเข้าข้างเรื่องนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าเราขายไม่ออก
เอ
...เราต้องลุยเรื่องเรียน และแปลอย่างเดียวนะเนี่ยเงินถึงจะได้มาโดยที่ไม่ต้อง
พึ่งแต่สามี แหมอุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้ค่าตัวซะนี่

ตั้งใจเรียนมากเพราะอยากเข้าใจ อยากรู้ อยากเป็นตัวของตัวเอง สับสนและ
วุ่นวายกับเรื่องการเรียนมาก เพราะเราอยากพูดได้ดังใจ มี สามีเป็นเพื่อนทะเลาะ
เพราะเขาสอนอะไรเราไป เราก็เอาความโกรธ ความกลุ้มโยนไปที่สามี เขารับหน้า
ที่เป็นกระโถนในท้องพระโรงของพี่ไป และในขณะเดียวกันก็เข้าใจที่พี่กลุ้มเพราะ
อยากเป็นภาษาเร็วๆ ไม่มีดิกชินนารี่ ที่เราจะสามารถใช้ได้เลยตอนนั้น มีก็จริงอยู่เฉพาะแค่ให้หญิงไทยที่มีการศึกษามาไม่มาก ได้พูดคุยได้นิดหน่อย
กับแฟน
เราจะเอามาเปิดเป็นตำราเพื่อเป็นพจนานุกรมในการเรียนขั้นสูงก็ไม่ได้
เพราะคำศัพท์ที่ต้องใช้ ต้องมีคำเปรียบเทียบมากมาย พร้อมกับอุปมาอุปไมย
ความรู้เรื่องการเมือง หรืออะไรต่างๆต้องมี ตอนแรกๆใช้ ดิกชินนารี่ อังกฤษ
เดนมาร์ก และ เดนมาร์ก อังกฤษ เคยตัดพ้อกับอาจารย์ที่สอนภาษาให้มาตลอดว่า
ดิกชินนารี่ ที่มีอยู่ใช้ได้ไม่มาก
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นผล หรืออิทธิพลที่ทำให้
พี่มีความตั้งใจที่จะทำดิกชินนารี่ เดนมาร์ก ไทย
ขึ้นมา เพราะการทำดิกชินนารี่ขึ้น
มานี้เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวพี่เองก่อนอื่น จะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆมากมาย การทำ
ดิกชินนารี่ขึ้นมาก็เพื่อที่จะได้ ช่วยเหลือพวกพี่ๆและน้องๆที่มาทีหลังจะได้เข้าใจ
และไม่ต้องเหนื่อยเหมือนพี่ไง ประสบการณ์เหล่านี้ที่เราได้เรียนรู้ และประสบมา

ตลอดเวลาที่เราอยู่ที่เดนมาร์กในช่วงนั้น ทำให้พี่มีกำลังใจมากขึ้นตั้งใจเรียน และ
ต้องการเรียนพยาบาล ถามที่ ร
.. พยาบาลว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าเรียนได้
เพราะทำงานอะไรก็ไม่ได้ อาจารย์ที่ปรึกษาของ โรงพยาบาลแนะนำให้ไปเรียน
การศึกษาต่อเนื่องมา และต้องเรียน อังกฤษ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
ภาษา เดนมาร์ก ให้ได้เกรด
11-13 นั่นก็คือเกรด 3-4 บ้านเรานั่นแหละค่ะ แล้วให้นำใบเกรดนั้นมาเข้าสอบสัมภาษณ์เพื่อการคัดเลือกเข้าเรียนพยาบาล การเรียนพยาบาลที่เดนมาร์กมีการเปิดการเรียนการสอนเฉพาะที่วิทยาลัย
พยาบาลเท่านั้น ซึ่งแตกต่างไปจากเมืองไทย เพราะสามารถเข้าเรียนที่
มหาวิทยาลัยได้ แต่ที่เดนมาร์กไม่มีหลักสูตรนี้ที่มหาวิทยาลัย จะมีก็คือการ
เรียนต่อเนื่องเพื่อการเรียนเฉพาะทางเท่านั้น เช่นการเรียนต่อวิชาพยาบาล
หลักสูตร
2 ปีเพื่อการให้การบริการหรือแนะนำสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ
เกี่ยวกับการให้นมบุตร หรือวิธีการดูแลเด็กแรกเกิดที่ถูกต้อง

คิดนะแหมเราขนาดภาษาไทยครูพร่ำสอนเรามาตลอด เรายังไม่เข้าใจท่านเลย
แล้วนี่มันภาษาเดนมาร์กนะ เราเกิดมายังไม่เคยได้ยินเลย แล้วจะทำได้เหรอ
ฮึดสู้ เออ
..ไม่ลองไม่รู้และก็จะลองให้ถึงที่สุด เพราะในเมื่อเราลองแล้ว
ทำไม่ได้ก็ถือว่าเราพยายามแล้ว ก็เลยเดินเข้าไปที่โรงเรียนเพื่อขอราย
ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอนวิชาที่อาจารย์ท่านแนะนำมา
ทางโรงเรียน ที่จะเข้าเรียนท่านก็มีอาจารย์ที่ปรึกษาเหมือนกัน ท่านไม่เห็นด้วยที่พี่จะเข้าเรียนในเกรดนั้นเพราะท่านกลัวว่าเราจะไม่รู้เรื่องเลย และก็ตามไม่ทันเพราะคนที่เรียนก็เป็นคนเดนมาร์กเท่านั้นคนพวกนี้เขาเกิดกันที่นี่ และก็ถ้าขืนไปเรียนในห้องเดียวกับเขาคงจะไม่รู้เรื่องแน่ และอีกอย่างเราก็อยู่ใน
ประเทศได้เพียง
7 เดือนเท่านั้น มันน้อยไปที่จะเรียนรู้ได้หลายๆอย่าง อาจารย์ท่าน

แนะนำให้ไปเรียนกับ คนต่างชาติด้วยกัน เพราะจะมีห้องเรียนเฉพาะให้คนต่าง
ชาติเรียนอยู่ พี่ยืนยันกับอาจารย์ว่าจะต้องเรียนห้องเดียวกับคนเดนมาร์กให้ได้
เพราะจะต้องเอาใบประกาศไปเข้าเรียนพยาบาล พี่ยืนกรานกับอาจารย์อาจารย์ที่
ปรึกษาไม่เห็นด้วย แต่ก็ขัดไม่ได้ เพราะเรามีสิทธิที่จะเลือกเรียนได้ จะจบไม่จบ
นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดท่านก็อนุญาตให้พี่เข้าไปเรียนในห้องนั้นได้ แถม
ต่อท้ายให้ว่า
ครูให้เวลาเธอกลับใจ 14 วันนะลำพา เธอมาหาครูได้และก็ไปเรียนที่ห้องของคนต่างชาติมันก็ยังไม่สายเกินไปนะ
พี่พูดขอบคุณอาจารย์ที่แนะนำ
และก็บอกอาจารย์ไปว่า จะไม่ยอมกลับมาหา
ท่านอีกเป็นอันขาด ถ้าจะมาก็จะเอาใบเกรดมาให้ดูว่า เราทำได้
และก็ได้ดังใจปรารถนา

เรียนไปด้วย แปลดิกชินนารี่ไปด้วย เป็นล่ามไปด้วย เหนื่อยก็เหนื่อย
บางครั้งก็ท้อ เพราะมันยากมากเพราะเราไม่เชื่อครู เราดื้อเองเพราะดันมาเรียน
กับคนที่เขาเป็นเจ้าของภาษามาตั้งแต่เกิด ถอยก็ไม่ได้เพราะเรามาถึงจุดนี้แล้ว
ต้องลุยอย่างเดียว ความอดทน อดกลั้น ความขยันอยู่ที่ไหน ค้นเอามาให้หมด
ไม่ได้ไม่เลิก เป็นทั้งนักแปล
ล่าม ช่วยเหลือสตรีไทยที่ถูกสามีทุบตีทั้งแม่และ
เด็กในด้านกฎหมาย และก็ทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของสามี ทำทุกอย่างไม่บ่น
บางครั้งท้อถอยขึ้นมาบ้าง โทรไปหาพ่อตอนนั้น ท่านจะเตือนพี่ตลอดว่า
" แม้แต่วัวแต่ควายเรายังฝึกให้สัตว์เหล่านี้ทำงานได้อย่างที่มนุษย์ต้องการ
ให้มันทำ แต่นี่เราเป็นคนนะลูก ถ้าเราขยัน และตั้งใจที่จะทำ ทำไมเราจะทำ
ไม่ได้ ความอดทน และอดกลั้นเท่านั้นที่จะเป็นหนทางที่นำเราไปสู่ประตู
ของความสำเร็จ มีวิชาติดตัวเหมือนมีทรัพย์นะลูกตักเท่าไหร่ก็ไม่หมด
และใครๆก็ขโมยมันไปจากเราไม่ได้ ไม่ทำตอนนี้แล้วจะไปทำตอนไหน

"
คำพูดของพ่อจะติดในสมองของพี่ตลอดมา และก็เป็นกำลังใจที่ทำให้พี่ต้อง
ทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้เราได้เป็นคนดี คนหนึ่งและก็เป็นคนหนึ่งที่สังคมของ
เดนมาร์กเห็นได้ว่าเรามาแล้วมีประโยชน
์ให้กับประเทศของเขา
มาแล้วเราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเขา

พี่เข้ามาเดนมาร์กในปี 1989 เข้ามาตอนนั้นพี่มีวิชาการอะไรพี่ก็ใช้ไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ในการทำงานและการเรียนการสอนที่แคนาดามา
แล้วก็ตาม เพราะทางเดนมาร์กเขาไม่ให้โอกาสอะไรกับคนต่างชาติอย่าง
พวกเราเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของไทย เพราะเขาเห็นว่าการศึกษาของไทยเรายังด้อยอยู่มากหรือใช้อะไรไม่ได้เลย แม้แต่เพื่อนต่างชาติที่จบพยาบาลขั้นปริญญาโทและทำงานมาแล้วจากสหรัฐ และหรือพยาบาลที่จบมาจากอังกฤษก็ยังทำไม่ได้ และถ้าต้องการที่จะมา
เป็นพยาบาลที่เดนมาร์กตอนนั้นพวกเราก็ต้อง
เริ่มต้นใหม่จากศูนย์กันหมด และก็มีหลายๆคนที่ได้เลิกล้มความตั้งใจไป
ตามๆกันเพราะไม่ต้องการที่จะเริ่มต้นใหม่กัน เหตุผลเพราะต้องใช้เวลา
เรียนหลายปีกว่าจะจบ และหรืออาจจะไม่จบเลยก็ได้ เลยออกไปทำงาน
เป็นพนักงานทำความสะอาดกันบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ได้เงินมากกว่า
การเป็นพยาบาลที่เมืองไทยเป็นร้อยเท่าไม่ต้องใช้สมองเพราะใช้แต่กำลัง
เหมือนกับที่พวกพี่ๆและน้องๆหลายๆคนที่ทำงานนี้พูดกัน
หรือบางคน
ก็อยู่กินกับสามีให้สามีเลี้ยงดูไปตามมีตามเกิด บางคนก็โชคดีไปที่
ได้สามีที่ร่ำรวยไม่ต้องออกไปทำงานเหมือนคนอื่นเขา

ในสมัยเมื่อ 40 ปีก่อนโน้นทางเดนมาร์กขาดแคลนบุคคลากรในการทำงานมาก เลยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานที่นี่ได้ มีที่พักให้มีสวัสดิการให้ทุกอย่าง และให้สิทธิที่จะอยู่ในประเทศได้ตลอดชีวิต และนำลูกนำหลานมาอยู่ด้วย
ได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้จากจำนวนของชาวตุรกี และ
ชาวโปแลนด์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพราะพวกเขาเป็นกรรมกรที่อพยพ
เข้ามาหางานทำในอดีต และปัจจุบันได้ตั้งรกราก อยู่ที่เดนมาร์กและเกิด
ลูกเกิดหลานอยู่ที่นี่ และพวกเขาก็เป็นคนเดนมาร์กไปโดยกำเนิด เพราะ
ถึงหน้าตาจะเป็นคนต่างชาติก็จริงอยู่ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดกันที่นี่ และถือว่าที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาไป แต่พอนานๆเข้าเกิด
ปัญหาการว่างงานในเดนมาร์กขึ้นมา ประชาชนเดนมาร์กเองก็ต้องตกงาน
กันมาก คนที่ทำงานกันจริงๆก็มีน้อย
คนที่นั่งกินเงินเดือนที่ได้รับจากการ
ว่างงานก็มีเพิ่มขึ้น ชาวอพยพที่ลี้ภัยหนีเข้ามาอยู่ในประเทศก็มีจำนวนมาก
ขึ้น การต่อต้านเรื่องเชื้อชาติก็มีมากขึ้นเหตุผล เพราะเขาคิดว่าเราเข้ามาอยู่ในประเทศของเขาเพื่อเกาะกินเงินช่วยเหลือด้าน
สวัสดิการของเขาเพราะพวกเขาคิด ว่าพวกเขาทำงานหนักกันฝ่ายเดียว และ
พวกเราเข้ามาเพื่อชุบมือเปิบ
หรือชาวมุสลิมเรียกร้องสิทธิการเป็นอิสลาม
ที่ไม่ยอมมีสุเหร่าร่วมกับใคร ไม่ยอมให้บุตรไปโรงเรียนร่วมกับคนเดนมาร์ก

การก่อปัญหามากมายเหล่านี้ของคนอิสลามทำให้เป็นที่เอือมระอาของคนเดนมาร์ก และหญิงไทยที่เข้ามาค้าประเวณีก็มีเพิ่มมากขึ้น การเข้ามาโดยการแต่งงานบังหน้า
แต่ค้าประเวณีอยู่เบื้องหลัง หญิงไทยดังมากในสมัยเมื่อที่พี่มาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนกับสามีทุกคนเขาก็คิดตลอดเวลาว่าเราเป็นเมียเช่าบ้าง

แต่พออ้าปากพูดภาษาออกมา เขาก็หยุดไปและไม่พูดต่อ
แต่พี่ก็เข้าใจคนเดนมาร์กนะ
ในการมีที่เขาเบื่อคนต่างชาติน่ะ เพราะคนต่างชาติบางคนที่มาอยู่ที่เดนมาร์กนี่
ทำเสียกันเอง
แต่ก็มีหลายคนที่ต้องการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศของตนเอง
โดยการที่พยายามเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ตลอด แต่บางครั้งความที่พวกเราทำดีไว้
คนเดนมาร์กหลายๆคนไม่เห็น

แต่พอมีคนต่างชาติบางคนมาทำรอยเปื้อนไว้ก็เลยพากันเป็นที่เพ่งเล็ง
ไปในทางที่ไม่ดีไปกันหมด
ก็ทำให้คนที่นี่เข็ดไปตามๆกัน เพราะการเข้ามาของคนต่างชาติเมื่อก่อนคือมีบางคนเข้ามาเพื่อหลอก
ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่นี่ในด้านสวัสดิการต่างๆ โดยที่ไม่ทำงานและไ
ม่ยอมที่จะเสียภาษีมาก มีแต่จะกอบโกยเอาอย่างเดียว เช่นการแอบอ้าง
เอาหลานๆมาเป็นลูกของตนเอง เพื่อที่จะได้เงินค่าเลี้ยงดูบุตรเยอะๆจากรัฐบาล พวกคนเดนมาร์กเขาซื่อสัตย์กันมากเมื่อก่อนนี้ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
แต่ตอนหลังเรื่องแดงขึ้นมา ชาวต่างชาติหลายๆคนที่ไม่ได้ทำและยึด
ถือความสุจริตก็พลอยติดร่างแหไปกับเขาด้วย
คนเดนมาร์กและ
คนต่างชาติที่เขาพากันทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่บ่น และยินดีที่จะเสียภาษีไ
ม่ว่าจะเสียเท่าไหร่ก็ตาม เพราะหาระบบแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ เพราะประชาชนที่เดนมาร์กพวกเขาจะมีทุกข์กันมากเกี่ยวกับเรื่อง
วันนี้เราจะทานอะไรกันดีนะ หรือวันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี พรุ่งนี้อากาศดีไหม
มีแดดออกไหมพรุ่งนี้
โอยฝนตกอีกแล้วน่าเบื่อ นี่คือปัญหาหลักที่เกิดขึ้นกับคนที่นี่ และก็เป็นปัญหาที่พวกเขาจะถกถามกันได้ทุกวัน ไม่หยุด

1.ใจรักการพยาบาลอยากจะเป็นอย่างที่ใจรัก แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

ช่วงที่เข้ามาเดนมาร์กใหม่ๆนั้น แทบจะไม่มีดิกชินนารี่ภาษาไทยใช้เลย
ถึงมีเราก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่มาก เพราะเราจะต้องใช้เรียนในขั้นอุดมศึกษา
ทำอย่างไรดีล่ะ เวลาที่จะเปิดคำศัพท์แต่ละครั้งมันต้องวุ่นวายไปหมด เพราะต้องใช้หนังสือพจนานุกรมหลายๆเล่มเข้ามาช่วยเพราะต้องการ
คำแปลที่ถูกต้องและให้ความหมายที่ชัดเจน ในที่สุดก็ได้พูดคุยกับอาจารย์
ที่สอนภาษาอยู่ซึ่งท่านเป็นคนอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องการทำ
ดิกชินนารี่ เดนมาร์ก- ไทย ขึ้นมาเพื่อที่ต้องการที่จะให้เป็นประโยชน์กับชนชาวไทยรุ่นหลังต่อๆไป หรือสำหรับนักศึกษาไทยที่ต้องการมาศึกษาต่อที่ประเทศเดนมาร์ก
และในอนาคตจะได้ใช้กันทั่วถึง และจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนกับพี่อีก
และนี่คือจุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจที่ทำให้พี่ทำพจนานุกรมเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นเอกสารทางวิชาการในการค้นคว้าหาคำศัพท์ภาษาเดนมาร์ก
เริ่มต้นที่เพื่อตัวของพี่เองจะได้เรียนรู้คำศัพท์ ศิลปะ วัฒนธรรม กฎหมาย ความคิดเห็นและความเป็นอยู่ของประชาชนชาวเดนมาร์กให้เพิ่มมากขึ้น และพี่ๆน้องๆคนไทยรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องลำบากในอนาคตในการใช
้ดิกชินนารี่หลายๆเล่มเข้าช่วยและจะเป็นการง่ายต่อการค้นหาคำศัพท์
และจะได้มีเวลาในการศึกษาหาความรู้เพิ่มขึ้น เข้าเรียนในห้องเดียวกับ
คนเดนมาร์กเอาใบเกรดมาได้อย่างที่ อาจารย์ต้องการเพราะเราทนและ
ทำงานหนัก แรกๆเรียนหนักมาก แต่มาตอนหลังๆเริ่มง่ายขึ้นเพราะเรา
เริ่มชินกับการเรียน เราสนใจเรียนทุกอย่างก็เลยดูง่ายไปหมด ไม่ใช่เพราะ
หัวดีแต่เป็นเพราะความที่ขยันและต่อสู้ไม่หยุด อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า
ภาษาก็เริ่มซึมซาบมากขึ้น

ได้เข้าเรียนพยาบาลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เรียนช่วงแรกๆต้องอ่านหนังสือหนัก
เพราะการเรียนทุกอย่างเป็นการศึกษาเองเกือบทั้งหมด ต้องค้นหาเอกสาร
ประกอบการเรียนมากมาย เรียนหนักเพราะต้องอ่านหนังสือวันหนึ่งอย่าง
น้อยร้อยกว่าหน้าเพื่อเตรียมตัวเรียนในวันรุ่งขึ้น ไปโรงเรียนพยาบาลแต่เช้า รีบกลับมาที่บ้านอาจารย์เพราะต้องทำงานแปลดิกชินนารี่ต่อ พอแปลเสร็จต้อง
รีบกลับบ้าน เพื่อไปทำอาหารมื้อเย็นให้สามี พอทานอาหารเสร็จก็ต้องรีบอ่านหนังสือ
ทำอย่างนี้เรื่อยมาจนดิกชินนารี่เสร็จ แต่ต้องมีคนช่วยพิมพ์ให้เพราะไม่มีเวลา เลยต้องเดินทางไปเมืองไทยไปเจออาจารย์ที่สอนอยู่ที่วิทยาลัยครูเก่าที่กรุงธน
ท่านก็เลยแนะนำให้ไปหาสามีของท่านซึ่งเป็นศาตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ และท่านเป็นอาจารย์หัวหน้าคณะภาคภาษาอังกฤษอยู่ เพราะต้องการให้ท่านช่วยเหลือในด้านการหานักศึกษาที่เก่งภาษาอังกฤษ ที่ต้องการมาช่วยงานด้านการพิมพ์และหาประสบการณ์ แต่อาจารย์ท่านแนะนำตัวท่านมาเองในการช่วยเหลือที่จะพิมพ์งานให้ ตอนแรกๆนึกเกรงใจที่ศาสตราจารย์จะมาทำงานให้เพราะไม่เคย
มีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ช่วงนั้นต้องทำงานอย่างเร่งรีบเพื่อจะ
ได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น อยากให้สามีภูมิใจในตัวภรรยาที่
จะได้สร้างชื่อเสียงให้กับวงสกุลของเขา แต่เขาก็มองไม่เห็นเพราะ
เราทำงานมากเกินไป สามีเลยให้เลือกเอาว่าจะเอาดิกชินนารี่ หรือจะเอาสามี ขอร้องสามีว่าอย่าให้เลือกเลยเพราะสิ่งของกับบุคคลเทียบกันไม่ได้เพราะ
เรารักทั้งสองอย่าง และอยากให้ครอบครัวสามีได้ภูมิใจในตัวเรา สามีไม่ยอมตั้งข้อแม้ว่า ถ้าไม่ยอมเลิกแปลดิกชินนารี่ก็ต้องหย่าขาดจากกัน เราไม่เลือกแต่สามีก็บังคับ
ให้เลือกให้เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่สุดก็เลยต้องตัดสินใจหย่ากับสามีที่แต่งงานกันมา
ได้แค่
2 ปี แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องดิกชินนารี่เท่านั้น เพราะพี่ทำงานช่วยเหลือหญิงไทยที่มา
ตกทุกข์ได้ยาก
อยู่ที่เดนมาร์ก ถูกทุบตี ถูกทารุนจากสามีคนเดนมาร์ก บางครั้งพี่ๆเขาโทรมาขอความช่วยเหลือตอนกลางค่ำกลางคืนใจอยากไปช่วยเหลือ
แต่สามีก็ไม่ชอบ เพราะไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องเหล่านั้น เพราะกลัวจะมีอันตราย
เข้ามาถึงครอบครัวตัวเอง
ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะข้างนอกอากาศหนาวมาก
หิมะก็ตกหนาเป็นศอก พี่ๆบางคนถูกสามีผลักออกมาจากบ้านไม่ให้อยู่ในบ้านด้วย
ไม่มีรองเท้าสวมใส่ เสื้อหนาวก็ไม่มี อากาศหนาวเหน็บต้องตัดสินใจออกไป
รับทั้งที่สามีไม่พอใจ แต่ก็ต้องทำถึงไหนถึงกันเพราะคนไทยด้วยกัน
ไม่ทำก็ไม่ได้เพราะเขาไม่มีที่จะไป น้ำตาตกในหลายครั้งแต่ก็ต้องทำเพื่อความ
ที่เป็นคนพุทธและไทยด้วยกัน พี่ไม่เคยหวั่นเรื่องว่าผลที่จะตามมาคืออะไร
เพราะพี่ถือว่าพี่ได้ทำในสิ่งที่ดีแล้ว สามีโกรธที่เราเลือกดิกชินนารี่ การที่เลือกเพราะพี่เห็นว่าเราคงเป็นได้แค่แม่บ้านที่ก้มหัวให้สามีอย่างเดียวเท่านั้น อนาคตคงไปไหนไม่รอดและก็คงจบที่การเป็นแม่บ้านเพื่อนั่งรอให้สามีมานั่งเลี้ยงดู
ไปวันๆหนึ่งเท่านั้น คิดไปคิดมาถ้าเขาทิ้งเราหรือตายจากเราไปล่ะ เราจะทำอย่างไร
แล้วใครจะมาช่วยเรา เรามาอยู่ต่างแดน ไม่ช่วยเหลือตัวเอง ไม่

ขวนขวายหาความรู้ไว้ แล้วจะอยู่ในสังคมที่นี่ได้อย่างไร ในที่สุดก็เลยหย่าเพราะเรา
ต้องไปไกลกว่านี้ และอีกอย่างจะได้มีโอกาสที่จะได้ทำงานด้านการช่วยเหลือหญิง
ไทยให้มากขึ้น โดยที่จะได้ไม่ต้องมานั่งกลัวว่าสามีจะโกรธหรือเปล่าที่เราไปช่วย เพราะพี่คิดว่าคนที่จะเป็นสามีเราได้ก็คงเป็นบุคคลที่มีจิตใจในด้านการช่วยเหลือ
เหมือนเราในยามที่ใครก็ตามที่เขามีโอกาสด้อยกว่าเรา เราก็ควรที่จะช่วยเขาเพื่อ
ให้เขาได้อยู่ได้และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเด็กเข้ามาร่วมด้วยพี่ยิ่งคิดหนักและ
ไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น เพราะคิดว่า
เกิดครั้งเดียวมันก็ตายครั้งเดียว ไม่ตายตอนนี้แต่ก็ต้องตายสักวันหนึ่งคงไม่มีใครรอดพ้นมันไปได้ ถ้าจะตายก็ขอให้ตายอย่างภูมิใจอย่างที่เราได้ทำกับคนอื่นๆไว้ ถึงไม่มีใครเห็นแต่เราก็ภูมิใจในสิ่งที่เราทำลงไปเมื่อตายเราก็คงตายตาหลับ พี่คิด

ไม่นานเกือบปีหลังจากที่หย่าเสร็จแล้ว พี่ก็เจอรักใหม่และแต่งงานอยู่กินด้วยกัน
สามีใหม่เป็นคนที่รักภาษาไทย รักคนไทยมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี พูดไทยได้เก่ง
สนับสนุนพี่ทุกอย่างเรื่องการเล่าเรียน ด้านการเป็นตัวของตัวเอง สอนการเป็น
คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กลัวในสิ่งที่พูด และกล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง
และมีเหตุและมีผล กล้ารับผิด กล้ารับความคิดเห็นของคนอื่น
และเอาความบกพร่องของตัวเองมาเป็นข้อคิด และปฏิบัติตัวเองใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่แต่งงานกับสามีคนนี้มาชีวิตพี่เปลี่ยนไปจากคนที่เคยโกรธ
เพราะใครติหรือพูดเตือนอะไรหน่อยก็ไม่ได้ กลับกลายเป็นคนที่มีเหตุมีผล
ไม่โกรธ ใครมาขอให้ช่วยเรื่องอะไรทำได้อย่างเต็มอกไม่เคยเป็นคนที่ชอบโกหกตั้งแต่นั้นมา เพราะมีอะไรที่ค้างอยู่ในใจก็เอาออกมาพูดคุยกันกับสามีเลยเป็นคนที่มีเหตุและผล
และช่วงนั้นก็เรียนพยาบาลใกล้จบพอดี ซึ่งขณะนั้นท้องลูกชายคนโตพอดี
ก็เลยลาคลอดได้เดือนเดียว และพี่ก็เลยเรียนต่อเพื่อให้จบและจะได้มีเวลาอยู่กับลูกให้มาก ให้นมลูกตอนกลางคืนและบีบน้ำนมไว้ให้ลูกดื่มยามที่เราไปเรียน
เหนื่อยก็เหนื่อยแต่ก็ไม่ท้อเพราะใกล้ถึงฝั่งแล้ว เหลือแต่สอบไล่ปีสุดท้าย
เท่านั้นที่จะต้องขึ้นสอบปากเปล่าเพื่ออธิบายการเลือกหัวข้อหลักที่เราเลือกทำวิทยา
นิพนธ์ขึ้นมาและเพื่อตอบคำถามที่ทาง
เซ็นเซอร์ตั้งคำถามมา การทำวิทยานิพนธ์นี้ ต้องเลือกหัวข้อที่เราเห็นว่าเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และหาเหตุผลขึ้นมาแย้ง และรวบรวมเอาวิชาการพยาบาลทุกวิชาเข้าไปในนั้นด้วย เพื่อต้องการหาข้อแก้ไขปัญหา ในการแก้ไขและแนะนำการพยาบาลที่เราเห็นว่าเราสามารถนำมาใช้ให้เป็น
ประโยชน์ได้ในอนาคตเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในด้านสาธารณะสุข
พี่
จบ
พยาบาลศาสตร์ที่วิทยาลัยพยาบาล VIBORG SYGEPLEJESKOLE
โดยใช้ระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด
3 ปีกับ 9 เดือน พอเรียนจบ
เหตุการณ์ใหม่ก็มีเข้ามาหา

ศาสตราจารย์ดอกเตอร์ท่านมาทำงานพิมพ์ให้ได้หนึ่งเดือนและก็กลับไปที่เมืองไทย
หนังสือพจนานุกรม เดนมาร์ก
- ไทย ได้เข้าสู่สำนักพิมพ์ โดยที่พี่ไม่มีโอกาสได้อ่านหรือทบทวนแก้ไขงานอีกรอบเพราะจะได้แก้ไข
ข้อผิดพลาดได้ เพราะความโลภและความอยากได้ผลประโยชน์ของ
อาจารย์ที่เดนมาร์กเพื่อต้องการที่จะได้มีเส้นสายในการเข้าสอนในจุฬา
และเพื่อการที่ศาสตราจารย์จะได้นำเอาผลงานที่ตนเองอ้างอิงว่า
เป็นผลงานแปลของตัวเองที่ทำงานแปลนี้มาได้
5ปีและนำ
งานนี้ไปประกอบผลการทำงานเพื่อที่จะได้เพิ่มเกรดและขั้นราชการ
ของตัวเองขึ้นมา เหมือนมีกรรมเข้ามาแทรกช่วงนั้น อยู่ๆหนังสือก็ออกมา
โดยที่ไม่ได้รับการเซ็นอนุมัติจากฝ่ายพี่ มีข้อผิดพลาดมากมาย เพราะ
ไม่มีโอกาสได้ทบทวน เพราะอาจารย์คนอังกฤษอ่านไทยไม่ได้ และศาสตราจารย์ดอกเตอร์จากจุฬาก็อ่านภาษาเดนมาร์กไม่ออก ส่วนคนที่เป็นแพะรับบาปก็คือพี่คนเดียวเพราะเป็นคนแปล และคนไทย
ทุกคนก็รู้กันหมดว่าพี่เป็นคนทำดิกชินนารี่เล่มนี้อยู่ พี่เดินเรื่องศาล
ต่อสู้ทางกฎหมายกับอาจารย์ทั้งสอง จนชนะและได้ลิขสิทธิ์มาครอบครอง
และสามารถออกหนังสือเป็นของตัวเองได้ ส่วนอาจารย์ชาวอังกฤษ
ก็ได้ลิขสิทธิ์ไปครอบครองส่วนที่เขามีสิทธิ พี่ไม่ต้องการจองล้าง
จองผลาญกับใครก็เลยขอลบชื่อตัวเองออก
เพื่อเราจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าทำงานชุ่ยๆแปลก็ไม่ถูก เพราะ
ไม่มีโอกาสที่จะได้ควบคุมการพิมพ์ที่ถูกต้องตามคำศัพท์ที่เรา
ได้แปลเอาไว้อย่างละเอียด

ตั้งแต่เรียนจบพยาบาลมาพี่ก็ได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ทำงานเป็นล่าม
ให้กับกระทรวงยุติธรรมร่วมกับตำรวจนานาชาติเพื่อช่วยเหลือหญิงไทย
ที่ถูกหลอกพาตัวเข้ามาขายและถูกกักขังอยู่ในห้องใต้ดิน ถูกบังคับให้ขายตัวและแม่เล้าซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันก็เอาเงินไปกินเอง หญิงสาวเหล่านี้ถูกกักขังอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเดือนๆไม่ได้เห็นเดือนเห็น

ดาวกับคนเขาเลย ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับตำรวจมา
จากการเป็นล่าม ก็กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยตำรวจในการสอบสวน
เพื่อหาตัวคนผิดในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ ติดต่อทางหน่วยงาน
ต่างๆทั้งทางเดนมาร์กและเมืองไทย
เพื่อที่จะให้การปกป้องและ
รักษาชีวิตของหญิงไทยเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ถูกฆ่า หรือนำ
ตัวมาไถ่หนี้คืนอีก และยังช่วยส่งเสริมและแนะนำให้ได้รับการ
ฝึกอบรมหลักสูตรอาชีพต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงไทยเหล่านี้ กลับ
ไปให้ขายบริการเหมือนเดิมเพราะไม่มีหนทางไป

พี่ทำงานเหล่านี้โดยลำพังโดยอย่างอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ทางเดนมาร์กหลายๆฝ่ายที่ให้การร่วมมือเมื่อ
ขอร้องไปทางเขา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การสนับสนุนอยู่ทางเบื้องหลัง การทำงานเหล่านี้ต้องพร้อมที่กายและใจเพราะเป็นงานที่หนัก ที่หนักก็คือเป็นงานที่เราจะต้องเอาชีวิตของเราเข้าไปรับทราบความเป็นอยู่ของ
หญิงสาวที่มาตกระกำลำบากเหล่านั้น ทางฝ่ายบิดามารดา ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากขอพรจากพระให้ช่วยคุ้มครองให้เด็กเหล่านี้กลับมาบ้านอย่างปลอดภัย
บางคนได้กลับ แต่บางคนก็เสียชีวิต นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าไปอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ทำก็ไม่ได้เพราะเขามาพึ่งเรา เพราะเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
การทำงานเหล่านี้เป็นการทำงานที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายๆปีต่อมาเป็น
การทำงานที่สูญเปล่า ก็เลยปรึกษากับเพื่อนๆนักข่าวทางทีวีช่อง
2 ของเดนมาร์กที่ทำรายการเกี่ยวกับสารคดีต่างๆที่มีประโยชน์ต่อสังคม
และได้สาระ เพื่อทำรายการสารคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงหญิงไทยเข้า
มาค้าประเวณีในเดนมาร์ก จุดประสงค์ของการทำสารคดีนี้ขึ้นมา เพื่อเรียกร้องให้ทางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกระทรวงยุติธรรมของ
เดนมาร์กได้ทำการร่างกฎหมายใหม่ขึ้นมา เพื่อทำการลงโทษพวกที่เป็น
ตัวบงการที่อยู่เบื้องหลังได้ถูกลงโทษให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ทำอีก และก็ได้รับการสนับสนุนทางหัวหน้าฝ่ายต่างๆจนเป็นสาระคดีที่ดีเด่น
ของทางสถานีโทรทัศน์ทั่วยุโรป และก็ได้
รับรางวัลชนะเลิศ

INTERNATIONAL CIRCOM GRANPRIZ 2007 ใน วันที่ 11พฤษภาคม 2007
ในปีนี้ที่ประเทศสเปน ณ กรุง
BILBAO , GUGGENHEIM MUSEUM.
ซึ่งรายการสารคดีนี้มีชื่อว่า
"FANGET SOM LUDER" หรือ
"SOLD FOR NOTHING"
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีน้องผู้หญิงไทย 2 คน
ได้พบและประสบชะตากรรมนี้มา
ด้วยตนเอง พี่เองก็ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องรางวัลเลย แต่ที่ดีใจก็คือได้เจ้าหน้าที่
ที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือสตรีเหล่านี้
หลายๆชาติหลายๆประเทศที่ให้ความ
ร่วมมือด้วยเพราะไม่ได้ทำงานเสียเปล่า และทางเดนมาร์กก็ให้การลงโทษผู้
กระทำผิดมากขึ้น
พี่ชอบทำงานอยู่เงียบๆไม่ออกหน้าออกตา ให้การช่วย
เหลือน้องคนไทยที่มาอยู่ที่เดนมาร์กได้ เรียนรู้เรื่องภาษาเดนมาร์ก สนับสนุนให้รักการเรียนโดยการสอนและแนะนำด้านหลักไวยากรณ์ง่ายๆให้
พวกเขาได้เข้าใจกัน และในขณะเดียวกันก็เป็นกำลังใจให้ พร้อมสนับสนุนหญิงไทยที่ค้าประเวณีมาก่อนให้ได้รับการศึกษาที่ดี และมีอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยที่ไม่หันไปหาอาชีพเก่าอีกต่อไป
การทำงานเหล่านี้เป็นการทำงานที่ต้องเสียสละและเป็นงานที่ไม่มีใครเห็นผลงาน เป็นงานที่ต้องเห็นแต่ความทุกข์ทรมานของคนไทยด้วยกัน เป็นงานที่ต้องแลกกับ
หลายๆสิ่งในชีวิต และก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่ต้องมีชีวิตที่อยู่คนเดียว
อีกครั้งหลังจากที่แต่งงานกับพ่อของลูกๆมาได้
17 ปี แต่พี่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร
เพราะคิดว่าสิ่งไหนที่จะเกิดก็ต้องเกิด เราเลือกไม่ได้ ถ้าเราเลือกที่จะทำงาน

เพื่อสังคมเราก็ต้องทำมันให้ถึงที่สุด พี่ทำงานพยาบาลไปด้วยพร้อมกับ
งานช่วยเหลือหญิงไทยในเดนมาร์ก งานล่าม งานแปล ช่วยเหลือตัวเอง
ได้มีเงินเดือน มีบ้านอยู่ มีรถเป็นของตัวเอง อยู่กับลูกๆทุก
2อาทิตย์ทำงาน
ไปเลี้ยงลูกไป ไม่มีเวลาที่จะเอาสมองไปยุ่งเรื่องอื่นที่ไร้สาระ และนี่คือที่มา
ของชีวิตพี่ที่ได้โชกโชนมาตลอด มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปสิ่งไหนที่น้องๆ
สามารถเอาไปใช้ได้ อยากให้ใช้ความคิดอย่างมีสติที่รอบคอบ เพื่อการนำ
เอาไปใช้ให้ถูกทางและมีประโยชน์

ปัจจุบันนี้พี่ได้ลาออกจากงานราชการแล้วและก็มีบริษัทพยาบาลเป็นของตัวเอง
โดยไม่มีใครเป็นหุ้นส่วนด้วยคือ บริษัท
NURSING BUREAU เป็นบริษัทพยาบาล
ที่ทำหน้าที่ส่งพยาบาล
ICU ของเดนมาร์กและสวีเดนพร้อมนอร์เวย์ออกไปทำงาน
ตามแผนก
ICU ต่างๆของ

รพ.ในประเทศนอร์เวย์ การที่ตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเพราะเป็นแรงจูงใจที่เพื่อนๆ
พยาบาลพิเศษที่ได้พบเจอกันมาจากการทำงานในสถานที่ต่างๆในประเทศนอร์เวย์
ได้ให้การสนับสนุนให้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อหาเงินกันเองและให้เงินเดือนที่สูงกับพนักงาน
พยาบาลด้วยกันโดยที่บริษัทพออยู่ได้ โดยไม่ต้องเสียเปรียบให้กับบริษัทพยาบาลอื่นๆ
ที่คอยเอารัดเอาเปรียบพยาบาลพิเศษด้วยกัน

มีพยาบาลไทยหลายๆคนที่ตั้งคำถามผ่านพยาบาลพลัดถิ่นมาเพื่อต้องการที่จะถาม
พี่โดยตรงและพี่ก็คงจะตอบให้เท่าที่จะตอบให้ได้โดยไม่ปิดบังใดๆทั้งสิ้น


2. แรงจูงใจที่ทำให้พี่ต้องเปิดบริษัทจัดหาพยาบาลไทย เข้าสู่ประเทศเดนมาร์ก

คือเมื่อ2 ปีที่แล้วมาพี่ได้ไปเฝ้าอาการป่วยของคุณพ่อพี่ เพราะท่านป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ในเม็ดเลือดขาว โอกาสที่ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้นั้นหมอบอกว่าเกือบ
10 ปีแต่พี่ก็ต้องเสียท่าน
ไปในระยะแค่เดือนเดียวเท่านั้น ในขณะที่อยู่ที่ รพ
. พุทธชินราชที่พิษณุโลกก็ได้รู้จักพี่ๆและน้องๆพยาบาลหลายๆคนที่ต้องการออกไปทำงาน
ต่างประเทศมีหลายคนที่ตั้งใจออกไปทำงานได้พากันเสียเงินเสียทองมากมายหลายแสน
เพื่อเรียนภาษาอังกฤษและเพื่อที่จะสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพที่ทางสหรัฐและอังกฤษ
พร้อมทั้งออสเตรเลียตั้งเงื่อนไขมา สอบไม่ผ่านตามที่ทางต่างประเทศเขาต้องการ พวกพี่ๆน้องๆพยาบาลที่รู้จักเลยอยากให้พี่หางานพยาบาลที่เดนมาร์กให้ แต่พี่ก็ได้บอกน้องๆพี่พยาบาลไปว่าเป็นการยากมากที่พยาบาลไทยจะเข้ามาทำงาน
ได้โดยไม่ได้แต่งงานกับคนเดนมาร์ก เพราะที่ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ปิด มาได้ก็เพียงการแต่งงานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเขาจะอนุญาตให้เราอยู่ในประเทศได้โดยถูกต้องตามกฎหมายของเดนมาร์ก ใจอยากให้น้องๆพี่ได้มากันอย่างสง่าไม่ต้องผ่านการแต่งงานกับใครก็ตามที่เราไม่ได้
รู้จักเพราะอาจโชคไม่ดีไปเจอคนที่ชั่วได้ ไม่อยากให้พยาบาลเหล่านี้ต้องมาพบกับ
วามขมขื่นในชีวิต พี่รอโอกาสนี้มาเป็นเวลา
2 ปี น้องหลายๆคนไถ่ถามมาว่าเมื่อไหร่จะหาคนแต่งงานให้พี่ก็ตอบไปทุกครั้งว่าพี่
ไม่ต้องการให้พวกเขามาแบบนั้น

ในที่สุดปีนี้ 2007 ทางเดนมาร์กก็ได้มีอนุมัติให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานที่เดนมาร์ก
ได้โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลเพราะทางเดนมาร์กขาดแคลนบุคคลากรด้านนี้มาก และจะให้การพิจารณากับการให้สิทธิกับบุคคลากรเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก โดยการให้สิทธิพาครอบครัวมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างถาวร และต้องการให้บุคคลากรเหล่านี้อยู่ที่นี่นานๆหรือโดยไม่กลับประเทศเลยก็ดีเพราะ
จะได้ไม่ต้องเสียงบประมาณมากมายในการว่าจ้างพยาบาลพิเศษเข้ามาปฏิบัติ
หน้าที่แทนในช่วงที่ขาดบุคคลากร เพราะเป็นงบที่แพงมากในแต่ละปีของโรงพยาบาล
ทุกโรงพยาบาลในเดนมาร์ก และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย การที่จะเข้ามาได้นั้นมาคนเดียวค่อนข้างยากเพราะทางการไม่ไว้ใจ ถ้ารับเข้าทำงานและจัดตารางเวรให้กับพนักงานแต่พยาบาลไม่มาหรือ
ไม่ให้เหตุผลเอาดื้อๆ จะไปเอาโทษปรับกับใครก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครรับประกัน ฉะนั้นการที่จะทำได้อย่างเดียวก็คือการตั้งบริษัทขึ้นมา ถ้าพยาบาลเบี้ยวไม่มา ทางรพ
.สามารถเรียกปรับเงินกับทางบริษัทได้ ในราคาที่สูงและเป็นภาระรับผิดชอบของทางบริษัทที่จะต้องจัดหาพยาบาลมาทำงาน
ให้ได้ตามที่ทางราชการต้องการและได้ทำการตกลงเซ็นสัญญานัดหมายเอาไว้ การเคร่งครัดเรื่องภาษาก็มีไม่มากเหมือนสมัยก่อน เพราะทางราชการได้จัดเตรียม
การพร้อม ที่จะจัดหน่วยงานด้านการเตรียมพร้อมด้านการเรียนการสอนภาษา และหลักการเรียนการสอนหลักสูตรพยาบาลเพิ่มเติมในระยะสั้น เพื่อเตรียมพร้อมพยาบาลต่างชาติเหล่านั้นได้เข้าทีมงานกับเพื่อนๆพยาบาล
เดนมาร์กได้ซึ่งทางการได้จัดเตรียมบุคคลากรด้านนี้ไว้แล้วและพร้อมที่จะ
ให้การช่วยเหลือพยาบาลต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานที่เดนมาร์กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. หลักเกณฑ์ในการสมัครสมาชิกหรือคุณสมบัติที่พยาบาลควรมี

ในการที่จะเข้ามาทำงานที่เดนมาร์กนั้นพี่ได้เขียนรายละเอียดต่างๆแจ้งไว้แล้วทาง
เวบไซด์ของบริษัท โดยที่พยาบาลที่ต้องการที่จะมาสามารถเข้าไปดูได้ทาง
เวบไซด์
www. scannurse.dk หรือพี่สามารถบอกได้อย่างคร่าวๆก็คือ

3.1 พยาบาลคนนั้นๆจะต้องมีใจที่เป็นนักสู้ไม่ท้อถอย และรู้ว่าตัวเองกำลังทำ

อะไรอยู่

3.2 เป็นบุคคลที่เป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงออก และกล้าตัดสินใจโดยการใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจ
เป็นบุคคลที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี และรักที่จะให้การดูแลเอาใจใส่คน
ไข้เหมือนกับญาติของเราเอง เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
หรือไม่ดูหมิ่นผู้ที่ด้อยกว่า เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการศึกษาหา
ความรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่รักในการสอน
เพื่อที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับอาการของโรค
ให้กับญาติและตัวคนไข้ได้ เป็นบุคคลที่มีใจเปิดกว้าง กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองและในขณะเดียวกันก็เคารพในความคิด
เห็นของผู้อื่น เป็นบุคคลที่เปิดใจกว้างเพื่อยอมรับในการติชม และนำเอา
การติชมนั้นมาพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิม โดยไม่ได้คิดว่าเป็นการเสีย
หน้าเมื่อถูกติเตือน

เป็นบุคคลที่กล้ารับผิดในสิ่งที่ตนผิดและในขณะเดียวกันก็กล้าที่
จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างมีเหตุและผล ถ้าเรา
เห็นว่าเราไม่ผิดและยืนกรานในความถูกต้องของตัวเอง

เป็นคนที่มีน้ำใจให้ความร่วมมือและช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
ในขณะที่ยุ่งหรือฉุกเฉิน เป็นผู้ที่มีความสามารถกล้าพูดหรือวางขอบเขตให้กับผู้อื่นที่ล้ำเลิก หรือไม่เคารพสิทธิส่วนตัวของเรา เป็นบุคคลที่มีไหวพริบดีและสามารถมองสถานการณ์ของแผนกออกว่ายุ่ง
หรือไม่และ
/หรือจะช่วยแบ่งเบาภาระกับเพื่อนๆในแผนกได้อย่างไร สุดท้ายคือเป็นผู้ที่รักที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในด้านการพยาบาล เป็นบุคคลที่ต้องการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของชาติอื่นและต้องการ
ที่จะปรับตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆ เป็นบุคคลที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และสามารถแก้ไขปัญหานั้นๆได้โดยการ
พินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เป็นพยาบาลที่จบการศึกษาปริญญาตรี หรือ
ที่เรียกว่าพยาบาลวิชาชีพ
RNเป็นบุคคลที่ได้รับการการพิจารณาให้ผ่านและ
ได้ใบประกอบวิชาชีพชั่วคราวของกระทรวงสาธารณสุขของเดนมาร์ก
เป็นบุคคลที่มีอายุตั้งแต่
25 ปีขึ้นไป เป็นบุคคลที่พร้อมในการเดินทางมา
ทำงานในต่างประเทศ และได้ทำการปรึกษากับทางครอบครัวเป็นอย่างดีโดย
ที่ไม่มีภาระผูกพันให้เป็นการเสียเวลา หรือเป็นอุปสรรคที่จะก่อให้เกิดการ
ชะงักในการเดินทาง
( ยกเว้นกรณีการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือการเสียชีวิตของญาติก็จะได้รับการพิจารณาให้เดินทางภายหลังได้ เพื่อที่จะได้ทำธุรกิจนั้นๆให้เสร็จโดยไม่ต้องกังวลในตอนหลัง ในขณะที่มา
รับราชการที่เดนมาร์ก
) เป็นผู้ที่ศึกษาและหาความรู้เรื่องประเทศนั้นๆก่อน
ที่จะเดินทางมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ตนเองจะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องประเทศ
ที่ตนจะมาพำนักอยู่อย่างถาวรนั้นเป็นอย่างดี เกี่ยวกับเรื่องศิลปะ
วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ความเป็นอยู่ และคนในประเทศนั้นๆ

4. ปัญหาที่พบบ่อยในการเทียบวิทยฐานะพยาบาลไทยในเดนมาร์ก

การมาทำงานอยู่ที่เมืองนอกมันไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายๆคนคิด และเหมือนกับการ

ปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะการมาทำงานที่ต่างประเทศนั้นไม่ว่าจะไปที่ประเทศ
ไหนก็ตาม
ทุกๆคนต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์พร้อมๆกัน ในด้านการเตรียมตัว
เตรียมใจ ในด้านสุขภาพจิต และสุขภาพร่างกาย
ในด้านสุขภาพจิตนั้นเราจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับชนชาติ
ใหม่ที่ไม่ได้ใช้ภาษาของเรา การทำงานและการประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกัน
ไปในด้านการแสดงความคิดเห็น การเป็นตัวของตัวเอง การเรียนรู้ที่ทุกคนมี
สิทธิและเสรีภาพในการออกความคิดเห็น การตอบโต้ด้านวิชาการของพยาบาล
กับแพทย์เพื่อคงไว้ซึ่งการเป็นนักวิชาการและเพื่อการรักษาคนไข้ที่ได้ผล
และถูกต้องโดยที่ไม่มีการโกรธหรือคิดว่าละเมิด สิทธิซึ่งกันและกัน การเคารพในขอบเขตและสิทธิเสรีภาพของกันและกันระหว่างแพทย์และพยาบาล
การเรียนรู้เรื่องการไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ และการไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของกัน
และกันของแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วย หรือพนักงานตำแหน่งอื่นๆในแผนก
ทุกคนเท่าเทียมกันหมด การเรียนรู้เรื่องการติเพื่อก่อ และนำเอาการติชมนั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองให้ดีและเก่งขึ้น ในด้านวิชาการของตัวเองเพื่อช่วยลดหย่อนภาระของแผนกและมีการสามัคคีใน
การทำงานกลุ่มมากขึ้น การปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ ภาษาใหม่
ด้านสุขภาพร่างกายนั้นเราจะต้องมาปรับสภาพร่างกายของตัวเอง
ให้เข้ากับสภาพอากาศที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล เพราะประเทศไทยเป็น
ประเทศที่อยู่ในแถบโซนร้อนฉะนั้นพยาบาลที่จะเข้ามาทำงานที่ประเทศอื่นๆ
ทางยุโรปและหรือทางตะวันตกจะต้องยอมรับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ
ในช่วงฤดูหนาว การยอมรับสภาพที่จะเกิดความเหงาขึ้นมาได้บ้างเป็นบางครั้ง
เมื่อจากครอบครัวมาในตอนแรกๆ เหตุเพราะคนไทยชอบอยู่กันอย่างเป็น
กลุ่มของครอบครัวใหญ่ๆ

การเรียนรู้เรื่องภาษาทุกคนจะต้องเริ่มต้นที่ศูนย์เหมือนกันหมดเพราะเป็น
ภาษาใหม่ที่ทุกคนยังไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังมาก่อน
ในการเรียนรู้เรื่องภาษา พี่ๆน้องๆพยาบาลไทยตอนนี้โชคดีมากกว่าพี่หลายร้อยเท่าเพราะมีพจนานุกรม
ให้ใช้ได้เลย และค้นหาศัพท์ได้ง่ายขึ้น เทียบวุฒิได้เลย และสามารถเป็นพยาบาล
ได้เลยโดยไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมใหม่ ถึงจะเรียนก็เป็นแค่หลักสูตรระยะสั้นๆ
ที่ทางราชการเตรียมเทรนให้เท่านั้นและได้เงินเดือนเทียบเท่าวุฒิกับพยาบาลที่นี่

โดยที่ไม่ต้องไปเริ่มต้นเรียนพยาบาลใหม่มีอาจารย์พี่เลี้ยงคือพี่เองที่จะต้องช่วยใน
การเทรนงานในแผนกและในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับน้องๆ

ได้ในด้านต่างๆไม่ว่าทางด้านวิชาการ หรือส่วนตัวหรือการปรับตัวเข้ากับแผนก การเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้นที่เดนมาร์กทางราชการก็เตรียมบุคคลากรที่จะ
ทำการสอนไว้พร้อมแล้ว

ปัญหาของพยาบาลไทยที่พบบ่อยๆ ในขณะนี้ คือปัญหาที่พยาบาลไทยที่ติดตาม
สามีเข้ามาในเดนมาร์กซึ่งมีพยาบาลบางคนกำลังฝึกงานอยู่ที่แผนกเพื่อต้องการ
ที่จะได้ใบรับรองในการทำงานไปเสนอให้กับทางกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อ
พิจารณาในการออกใบประกอบวิชาชีพถาวร กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะ
นี้คือช่วงที่ฝึกงานอยู่ของพยาบาลไทยคือการไม่เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติตัว
ของเพื่อนพยาบาลเดนมาร์กเพราะดูเหมือนเขาเข้ามาตอแยหรือก้าวร้าวเพราะไม่มีหางเสียง การพูดจาที่ตรงไปตรงมาของพยาบาลที่นี่เพื่อต้องการให้พยาบาลไทยปรับตัวเอง
ในด้านความรู้ความสามารถในบางสิ่งบางอย่างให้ดีขึ้น การพูดจาหรือการติเตือนอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าผู้อื่นดูเหมือนกับการหักหน้า
หรือขายหน้าทำให้เกิดการเข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนพยาบาลคนนั้นแกล้งไม่ชอบขี้หน้าตัวเองบ้าง เกิดการคับแค้นใจหรือน้อยใจที่เขาติเตือนเรา เพราะประสบการณ์จากการทำงานที่เมืองไทยยังติดตัวมาอยู่เพราะคิดว่าคนอื่น
จะคอยแต่จับผิดและเป็นสาเหตุที่จะทำให้ออกจากงานได้เพราะการเข้าใจผิด ไม่อยากมาทำงานหรือไม่กล้าถามอีกหรือหลีกเลี่ยงพยาบาลนั้นๆเพราะคิดว่า
เขาแกล้งแต่หารู้ไม่ว่าการที่เขาติเราเพื่อต้องการให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
และเทียบเท่ากับพยาบาลที่นี่ในด้านความคิดและการปฏิบัติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อ
การรักษาที่ถูกต้องกับคนไข้ และการพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่กล้าแสดงออกให้มากขึ้น ในการแสดงความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ปัญหาที่พยาบาลไทยที่เดนมาร์ก
พบบ่อยๆตอนนี้ก็คือการเป็นเจ้าแง่แสนงอน น้อยใจที่เขาติเพราะเหมือนกับ
การเสียหน้า ติไม่ได้จะไม่พูด เวลาทำงานก็ก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียวโดย
ไม่ได้วางขอบเขตให้ตัวเอง
เพราะการไม่พูดและไม่รู้จักวางขอบเขตก็เลยทำ
ให้เพื่อนเห็นว่าเราทำต่อไปได้ แต่เรากลับมองว่าเขาหลอกใช้งานเราโดยไม่หยุด แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราพูดออกไปว่าเราไม่มีเวลาพอขอให้ไปเอาคนอื่นช่วยเพราะ
เรายุ่งอยู่หรือหมดเวลาแล้วเขาก็จะไม่ละลาบละล้วงในสิทธิของเราและกลับจะเคารพ
ในตัวเรามากขึ้นที่เรากล้าวางขอบเขตของตนเองได้ การที่กลัวเสียหน้าว่าเขาจะคิดว่าเราเป็นคนโง่เวลาที่ขึ้นเวรกับเพื่อนพยาบาลเดนมาร์ก ตอนที่ทำงานอยู่ด้วยกันนั้นเพื่อนพยาบาลถามว่าทำได้ไหมพยาบาลคนไทยตอบว่า
ได้ทั้งที่ทำไม่ได้หรือไม่รู้เรื่อง การตอบก็เพื่อเอาตัวเองให้รอดไปก่อนเพราะคิดว่าเขา
คงไม่ใส่ใจเรื่องนั้นๆอีก

และปัญหาที่ตามมาก็คือเราทำไม่ได้อย่างที่รับปากเอาไว้ความเชื่อถือก็มีลดน้อยลง
ไปเพราะเขาเป็นห่วงคนไข้มากกว่า ว่าคนไข้จะได้รับการรักษาที่ผิดหรือสะเพร่าเพราะ
การที่ไม่รู้แต่กลับบอกว่ารู้ สิ่งที่พยาบาลเดนมาร์กต้องการก็คือสิ่งไหนที่เราไม่เข้าใจหรือ
ไม่รู้ให้ถามเพราะไม่มีคำถามใดที่โง่หรือไม่มีใครคิดว่าคนนั้นโง่ไม่รู้เรื่องถ้าถามเพราะ
การถามคือการเอาใจใส่ในการดูแลรักษาคนไข้ให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือสิ่งไหนที่ทำไม่ได้หรือไม่เข้าใจให้บอกออกไปตรงๆ เพราะเขาพร้อมที่จะสอนเรา
ทุกเมื่อในขณะนั้นและเวลานั้น แต่มีพยาบาลไทยบางคนกลับไม่พูดและทำเหมือนกับ
ว่าตัวเองรู้และเข้าใจ พองานออกมาก็ไม่ได้เป็นไปตามที่รับปากเอาไว้ เพราะการ
ไม่ได้เข้าใจในการสื่อสารกันอย่างแท้จริง ทางพยาบาลเดนมาร์กคิดว่าพยาบาลไทยรู้เรื่อง ผลออกมากลับกลายไปคนละอย่าง และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้รับการพิจารณาให้ได้รับใบประกอบวิชาชีพถาวร
ได้หรือไม่ก็ต้องมีการทดสอบงานใหม่ และต้องเอาคำติชมนั้นไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ได้มาจากคุณ
Randi Gjerding ซึ่งเป็นคณะกรรมการในการพิจารณาการออกใบประกอบวิชาชีพถาวรให้กับพยาบาล
ทุกๆคนที่เรียกร้องการขอใบประกอบวิชาชีพพยาบาลถาวร และพี่ก็ได้รับคำสั่งมา
จากคุณ
Randiให้ทำการเรียนการสอนพยาบาลที่จะมาในด้านการเข้าในกริยาท่าทางเหล่านี้
ให้ดีขึ้นเพราะจะได้ไม่มีปัญหาในการเข้าใจผิดซึ่งกันและกันอีกในอนาคต

5. เมื่อพยาบาลไทยผ่านการเทียบวุฒิในเดนมาร์กแล้วจะมีรายได้ประมาณเท่าใด และภาษีที่จะต้องถูกหักนั้นประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเบ็ดเสร็จ

สุทธิหักอะไรต่างๆออกแล้วนั้นประมาณเท่าไหร่

พยาบาลทุกคนที่จะเดินทางเข้ามาในเดนมาร์กไม่ว่าจะมาด้วยตัวเองเพราะแต่งงาน
หรือผ่านทางบริษัทของพี่ จะได้รับ
เงินเดือนขั้นต้นตามกฎเกณฑ์ของเงินเดือนที่ทาง
สภาพยาบาลเดนมาร์ก
( DSR )ได้ตั้งไว้ให้ และขึ้นอยู่กับว่าพยาบาลนั้นๆทำงานอยู่ที่ไหน ในเมืองหลวงหรือในชนบทเพราะเงินเดือนจะแตกต่างกันไปนิดหนึ่งเพราะขึ้นอยู่กับ
ค่าครองชีพของการอยู่ในตัวเมืองหลวงหรือการอยู่อาศัยในชนบท เช่นเงินเดือนขั้น
ต้นที่เมืองหลวง
21,000 โครนน่า ( 140,700 บาท/เดือน ยังไม่รวมค่าเงินเดือนอื่นๆ )
ที่ในตัวเมืองหลวง แต่ที่ชนบทก็จะลดลงมาเพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงเหมือนในตัวเมืองหลวง
คือประมาณ
18,000-19,000 โครนน่า ( 127,300 บาท/เดือน) นี่คือเงินเดือนที่ยัง
ไม่ได้รวมค่าทำงานล่วงเวลา
50 เปอร์เซ็นต์ ต่อชั่วโมงของเงินเดือน ค่าชดเชยการ
อยู่เวรบ่ายและดึก
+ 25 เปอร์เซ็นต์/ชั่วโมง ของวันธรรมดา จันทร์ - พฤหัส และ
+ 75 เปอร์เซ็นต์วันศุกร์ เวลา 17.00 – 07.00 ของเช้าวันจันทร์ + 100 เปอร์เซ็นต์ค่าชดเชยการทำงานในวันหยุดนักขัตฤกษ์ / ชั่วโมง ของเงินเดือนที่กล่าว
มาข้างต้น
+ ค่าเสียเวลาในวันหยุดชดเชยเพราะไม่มีพยาบาลเพียงพอเพราะถูกเรียก
ให้มาขึ้นเวร ก็จะมีค่าชดเชยอีกต่างหากและเป็นค่าชดเชยที่ให้เปอร์เซ็นต์ที่กล่าวมาข้างต้น ลองเข้าไปดูที่เงินเดือนของพยาบาลเดนมาร์กที่ทางสภาพยาบาลจัดไว้ได้ค่ะเพราะ
มีข้อปลีกย่อยที่จะได้รับอีกเยอะ ให้เขียนคงเขียนไม่หมดเพราะมีข้อปลีกย่อยของ
เงินเดือนที่จะได้อีกเยอะ นี่คือเงินเดือนที่จะได้รับในช่วงที่ฝึกงานอยู่ก่อนที่จะได้รับ
ใบประกอบวิชาชีพถาวรหลังจาก
6 เดือนไปแล้วสามารถร้องขอการพิจารณาเรื่อง
ใบประกอบวิชาชีพถาวรได้ถ้าผ่านการ
พิจารณาในด้านการทำงานและภาษาแล้วก็จะปรับอัตราเงินเดือนตามอายุขัย
ที่ได้ รับราชการมาจากเมืองไทย ว่าได้ทำงานมาแล้วกี่ปี อยากให้พยาบาลที่จะมาให้เตรียมเอกสารอายุราชการตัวนี้ไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐาน
ในการแสดงอายุการทำงานของตัวเองที่จบมาและเริ่มทำงานเป็นพยาบาล พยาบาลที่ทำงานมานานหลายปีเงินเดือนก็จะมากกว่าน้องๆที่จบมาไม่กี่ปี
อย่างน้อยต้องมีประสบการณ์มากกว่า
6 ปีขึ้นไปถึงจะได้เลื่อนขั้นเงินเดือนขึ้นไป
(
หมายเหตุ...เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ที่ทางโรงพยาบาลจ่ายหรือตั้งให้กับ
พยาบาลคนนั้นๆ จะสั่งจ่ายโดยตรงเข้าไปในบัญชีธนาคารของพยาบาลนั้นๆ
หลังจากที่หักภาษีเสร็จแล้ว ซึ่ง บริษัทไม่มีส่วนได้หรือเสียกับเงินเดือนนั้นเลย และบริษัทไม่มีสิทธิที่จะหักเงินเดือนหรือยึดเหนี่ยวเงินเดือนของพยาบาลนั้นๆไว้เลย ขอให้ทุกคนได้รับทราบมาในที่นี้ด้วยเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนที่พยาบาลทุกคนจะได้รับ
)

การเสียภาษี ตามนโยบายที่ทางรัฐบาลออกให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาทำงาน
ในประเทศเดนมาร์กในช่วงขณะนี้ โดยเฉพาะ แพทย์และพยาบาล และนักวิจัย นั้นสามารถ
เลือกที่จะเสียภาษีได้
2 แบบคือ

1. การยอมเสียภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ถือว่าเป็นการเสียที่น้อยมากแล้ว
แต่สามารถที่จะเสียภาษีตัวนี้ได้ในระยะ ๓ ปี เท่านั้นในขณะที่ทำงานอยู่ในเดนมาร์ก
และจะได้สิทธิเท่าเทียมกันหมด เกี่ยวกับด้านการรักษาในการไปพบแพทย์ หรือการ
ได้รับการเรียนการสอนฟรีหรืออื่นๆ สิทธิในการได้เงินค่าเลี้ยงดูบุตรจากทางรัฐมอบ
ให้กับเด็กทุกๆคนที่อายุไม่เกิน ๑๘ ปี เมื่อทำงานครบ๓ ปีแล้วต้องออกนอกประเทศและ
กลับไปเมืองไทย ถ้าไม่กลับก็จะต้องจ่ายภาษีย้อนคืนให้กับทางรัฐบาล โดยการจ่าย
ต้องเพิ่มเป็น ๓๖ เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้ทางรัฐกำลังร่างตัวกฏหมายใหม่ขึ้นมา
พื่อเป็นแรงชักจูงให้คนที่มีความรู้เข้ามาทำงานที่เดนมาร์กมากขึ้นโดยการเลื่อน
ระยะของการจ่ายภาษี ๒๕ เปอร์เซ็นต์ออกจาก ๓ ปี ไปเป็นระยะเวลา ๕ ปี

2. การยอมเสียภาษี 36 เปอร์เซ็นต์โดยที่ทางโรงพยาบาลทำหน้าที่หักภาษีก่อนจ่าย
เงินเดือนให้ สวัสดิการที่คุณจะได้รับจากทางเดนมาร์กคือเรื่อง การรักษาฟรี สิทธิเสรีภาพในการรักษาเท่าเทียมกับคนที่อยู่ในเดนมาร์ก ค่าเล่าเรียนบุตร

การตกงาน การที่อยู่ในสภาพทุพลภาพ ฯล

หมายเหตุ......ถึงแม้ว่าเดนมาร์กจะเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เสียภาษีสูง
ก็จริงแต่คนทุกคนที่อาศัยอยู่ในเดนมาร์กก็ยอมรับว่าเป็นสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลก และเป็นประเทศเดียวเท่านั้นที่ทุกประเทศในโลกนี้ ไม่ว่าสหรัฐหรือที่ไหนก็ตามที่ต้องการเอาระบบสวัสดิการของเดนมาร์กไปใช้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะปัญหาหลายๆด้านที่เป็นอุปสรรคในการนำเอาไปใช้ เดนมาร์ก
เป็นประเทศที่ให้ความยุติธรรมกับทุกคน ไม่ว่าการรักษาหรือจะอะไรก็ตาม ทุกคนจะได้รับการรักษาหรือการให้เท่าเทียมกันหมดไม่ว่าใครจะรวยหรือจน จะมาวางอำนาจเดินเข้ารักษาตัวก่อนคนอื่นไม่ได้ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นยาจก
มาจากไหน ในเมื่อคุณจ่ายภาษีคุณก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่เหมือนกัน เพราะ
ที่นี่ไม่ให้สิทธิ ใครก็ตามที่จะมาวางอำนาจว่าคนๆนั้นสำคัญ และจะต้องได้รับการ
รักษาตัวก่อน และดีกว่าคนอื่น แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเดนมาร์ก ถ้าเขามาหา
หมอทีหลังคนอื่น ก็ต้องนั่งรอ เพราะจะมาถือว่าตัวเองเป็นนายกไม่ได้
นี่คือ

การรักษาสิทธิของประชาชนทุกคนในเดนมาร์ก ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม
มาจากไหน เชื้อชาติอะไร ทุกคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด

6. ค่าที่พักอาศัย ค่ากิน และค่าประกันสุขภาพนั้น ใครเป็นคนจ่าย
และต้องเสียประมาณเท่าไหร่

อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าทางบริษัทไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับเรื่อง
เงินเดือนของพยาบาลนั้นๆเลย และเงินเดือนที่ได้รับก็เป็นเงินเดือนสุทธิเท่าเทียม
กับเงินเดือนของพยาบาลเดนมาร์ก เพราะพยาบาลที่เดนมาร์กทุกคนก็จะได้รับ
อัตราค่าจ้างเท่าเทียมกับพยาบาลไทย และหรือแล้วแต่อายุการทำงานว่าใครทำ
มาได้กี่ปีแล้วในวงราชการ การเสียภาษีจะเสียมากน้อย ก็แล้วแต่เงินเดือนที่หา
มาได้ มากน้อยเท่าไหร่ ฉะนั้นพยาบาลทุกคนเท่าเทียมกันหมดเกี่ยวกับ
เรื่องเงินเดือน และสวัสดิการ ทุกอย่างถ้ายอมเสียภาษีเองตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ถ้าพยาบาลไทยเข้ามาเดนมาร์ก และได้เงินเดือนเท่ากับพยาบาลที่นี่ และถ้าทางรัฐจะต้องออกค่าที่พักหรือค่ากินให้อีกต่างหากฉะนั้นการว่าจ้างคง
ไม่เกิดขึ้นมาเป็นแน่เพราะคนที่อาศัยอยู่ในเดนมาร์กจะต้องลุกฮือขึ้นมา
เพราะพยาบาลต่างชาติได้สิทธิมากกว่าพยาบาลที่อยู่ที่นี่ ฉะนั้นคำตอบคือ
พยาบาลทุกคนที่มาพำนักอยู่ในเดนมาร์ก มีเงินเดือนเป็นของตัวเองเท่าเทียม
กับพยาบาลที่นี่ ฉะนั้นคุณจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายเองค่ะ อย่าลืมซิคะ
ว่าพยาบาลที่จะมาที่นี่ ไม่ได้เป็นกรรมกรที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเลยนี่คะ และเงินเดือนทุกบาทก็อยู่ที่คุณเองว่าจะใช้จ่ายกันอย่างไร เพราะไม่ได้เกี่ยวกับ
ทางบริษัทเลย ทางเรามีหน้าที่ติดต่อสื่อสารพยาบาลให้กับทางโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งจะผิดกับทางสหรัฐเพราะพยาบาลไทยที่ผ่านเอเย่นต์ไป จะต้องเป็นพยาบาล
ที่อยู่ในสังกัดของบริษัทนั้นๆในระยะเวลา
3ปีถึงจะมีอิสระที่จะได้รับเงินเดือนโดยตรง
เพราะทางบริษัทต้องทำการหักค่าบริการต่างๆที่ทางบริษัททำสัญญากับทางโรงพยาบาลไว้
ฉะนั้นที่อื่นมีข้อผูกมัดมาก ข้อมูลที่ได้มาคือมาจากบริษัทหนึ่งของแคลิฟอร์เนียที่เป็นบริษัท
โดยตรงรับพยาบาลไทยจากบริษัทเอเย่นต์ของไทยอีกที
แต่ที่ทางเดนมาร์กจะมาทำ
อย่างที่กล่าวมาไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการว่าจ้างเอาทาสมารับใช้ ฉะนั้นจะถือว่าผิดกฎหมายและจะได้รับการลงโทษตามกฎหมายที่ว่าไว้

ในเมื่อคุณเข้ามารับราชการอยู่ที่นี่ การที่เงินเดือนของคุณทุกเดือนถูกหัก
ภาษีเบ็ดเสร็จแล้ว ซึ่งแล้วแต่ว่าคุณจะเลือกการจ่ายภาษีแบบไหน ส่วนเงินที่เหลือนั้นเป็นเงินที่คุณเลือกใช้จ่ายเองค่ะเพราะเป็นรายได้ของคุณ
ไม่มีใครกำหนดว่าคุณจะเก็บหรือใช้เท่าไหร่ เพราะนั่นคือสิทธิของคุณ

7. ทางบริษัทหักค่าคอมมิชชั่นเท่าไหร่คะ หรือว่ารวมกับจำนวนเงิน
ในการสมัคร
250,000 บาท

เรื่องเงินค่าคอมมิชชั่นนี่เป็นเงินที่ทางบริษัทได้ทำสัญญาในการค้าระหว่าง โรงพยาบาลและบริษัทซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินเดือนหรือค่าใช้จ่ายใดๆที่ทาง
พยาบาลต้องเสียค่าบริการที่กล่าวมา และไม่ได้เป็นหน้าที่ของพยาบาลที่จะต้องมา
ออกค่าคอมมิชชั่นตัวนี้ให้กับทางบริษัทเพราะเป็นหน้าที่ของทางราชการที่จะต้อง
เสียให้กับทางบริษัทเพราะ ถ้าทางโรงพยาบาลจะว่าจ้างบุคคลากรของเดนมาร์กเอง
มาดำเนินการต่างๆเอง จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากและเป็นค่าใช้จ่ายที่อาจ
จะคำนวณไม่ได้ หรือได้ไม่เท่ากับสิ่งที่ต้องการจะได้มา

การที่ทางรัฐอนุญาตให้บริษัทของพี่ จัดหาพยาบาลไทยมาให้นั้นเป็นการลดค่าใช้
จ่ายอย่างสูง เพราะจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องเสียไป เพราะถ้าทางรัฐทำการติดต่อเองอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการติดต่อและเรื่อง
ภาษาอาจจะมีปัญหาหลายๆอย่าง ฉะนั้นในเมื่อทางบริษัทมีความสามารถใน
เรื่องการติดต่อและพูดภาษาได้ และอีกอย่างคือพี่เป็นพยาบาลที่จบการศึกษา
ที่เดนมาร์ก ฉะนั้นโครงการที่พี่เสนอแนะให้กับทางรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องที่จะเป็น

Supervisor
และสอนภาษาขั้นเริ่มต้นก่อนเดินทางมาเดนมาร์ก จัดทำการเรียนการสอนเกี่ยวการทำReportพร้อมทั้งการเรียนการสอน
เกี่ยวกับการรับเวร การส่งเวร การดูแลคนไข้ การโต้ตอบด้านวิชาการพยาบาลกับแพทย์เพื่อรักษาศักยภาพของการเป็นพยาบาลไว้ และเพื่อการรักษาใบประกอบวิชาชีพของตนเอง และอื่นๆอีกมากมาย
การติดตามงานและแนะนำงานในแผนก เพื่อบรรเทางานให้กับพยาบาลในแผนก
และจะได้มีทัศนะคติที่ดี กับพยาบาลไทยและจะเป็นผลถึงการประเมินผลเรื่องใบ
ประวิชาชีพถาวรในอนาคต เพราะพี่ก็จะเป็นคณะกรรมการคนหนึ่งที่จะเข้าร่วมฟัง
ในการประเมินผลการทำงานของพยาบาลนั้นๆ และพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ หรือรับข้อแนะนำที่ทางแผนกได้ลงความเห็นมาในเรื่องข้อบกพร่อง เพื่อให้พยาบาลนั้นๆได้แก้ไขตนองใหม่ในกรณีที่ไม่ผ่านการประเมินผล
นั้น เป็นโครงการที่ทางรัฐเห็นแล้วว่าเป็นโครงการที่จะช่วยเอื้ออำนวยในการ
ประหยัดเวลาและเป็นการที่จะช่วยให้พยาบาลไทยที่กำลังจะเข้ามาในเดนมาร์กที่ผ่าน บริษัทพี่นี้เป็นพยาบาลชุดแรกที่จะมีพี่เลี้ยงเป็นพยาบาลไทยที่จบการศึกษาที่นี่
และที่สำคัญคือพี่ได้ทำสัญญากับ กระทรวงสาธารณะสุขไว้เกี่ยวกับเรื่องการดูแล
เอาใจใส่เกี่ยวกับเรื่องการเทรนงานที่แผนกช่วงเริ่มแรก การขึ้นเวรด้วย และแนะแนว
ขั้นตอนการทำงานต่างๆในแผนก เพื่อให้พยาบาลที่เข้ามาใหม่ ไม่เกิดการประหม่า
หรือกลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง และเป็นการลดหย่อนภาระของพยาบาลในแผนกเพื่อป้องกัน
การขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่งานมากเพราะการขาดแคลนพยาบาล และจะต้องมาทำหน้าที่เทรนงานพยาบาลต่างชาติอีก อาจจะเป็นข้อขัดแย้งที่ทำ
ให้พยาบาลเกิดการเหน็ดเหนื่อย พาลมาที่พยาบาลน้องใหม่ก็ได้ และอาจทำ
ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน เพราะการเครียดจากการทำงานของพยาบาลเดนมาร์ก และการเครียดของพยาบาลที่มาใหม่และตั้งใจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนก
เพราะต้องจำและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหลายอย่าง นี่คือสาเหตุที่ทางการและพี่ได้ทำ
การป้องกันปัญหานี้ไว้ และเพื่อให้พยาบาลเดนมาร์กและไทยเห็นผลงาน
ของกันและกัน และเกิดความสามัคคีกันในการทำงาน เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และผลที่ตามมาก็จะเป็นผลดีต่อการรักษาของคนไข้ด้วย

สำหรับเรื่องเงินที่เรียกเก็บสำหรับเป็นค่าการบริการและค่าใช้จ่ายหลายๆอย่าง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในด้านการเข้ามาอยู่ และมีความรู้สึกว่าไม่มีใคร

เทรนงานหรือเหมือนถูกทอดทิ้งให้ต่อสู้ทุกอย่างคนเดียวเรื่องการทำงานในแผนกนั้นๆ ฉะนั้นเงินที่เรียกเก็บนี้เป็นเงินที่พยาบาลหลายคนในเมืองไทยอาจจะบอกว่าถูกเพราะ
พยาบาลเหล่านั้นได้พยายามที่จะเข้าไปทำงานสหรัฐได้เสียเงินเสียทองกัน
ไปมากมายหลายๆแสน และบางคนเป็นล้านกว่าก็ยังไม่ได้ไป ไหนจะเสียค่าเรียนภาษาอังกฤษอีกต่างหากที่ทางบริษัทเรียกเก็บไม่ผ่านการสอบ ก็ถือว่าเสียฟรีไปและการที่จะมาเสียแค่สองแสนกว่ามาที่เดนมาร์กและได้งานทำเลย
นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเชื่อได้ยากมากสำหรับหลายๆคนดังที่พี่ได้อ่านผ่านมาบ้าง
ทางพยาบาลพลัดถิ่น แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ควรระวังและไม่ใจง่ายเชื่อใครเอาดื้อๆเพราะ
เราเป็นนักวิชาการกันแล้ว ควรตริตรองให้ดีก่อน และหาข้อมูลจากหลายๆส่วน และพี่ก็ดีใจที่ทุกคนให้คำถามมาเพราะพี่จะได้ตอบจากใจจริงและตามที่พี่ได้รู้และ
ศึกษามา หรือบางคนที่อยู่ที่เดนมาร์ก อาจเห็นว่าเป็นเงินที่แพงหรือมากมาย แต่ถ้าเอามาเทียบกับการที่พี่จะบอกต่อไปนี้คิดว่าทุกคนคงไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป
ว่าทำไมถึงได้เรียกเก็บ และ
ตอนนี้กำลังเป็นช่วงที่พี่กำลังทำการต่อรองกับทางรัฐ เพื่อพยายามที่จะขอให้รัฐออกค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือทั้งหมดให้กับพยาบาลที่จะมา เพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายบางตัวให้กับพยาบาลเหล่านี้ได้ เพราะพยาบาลจะ
ได้ประหยัดเงินในจำนวน สำหรับเงินสองแสนกว่าบาทนี้

ในจำนวนเงินสองแสนห้าที่จะเสียนี้คือค่าใช้จ่ายที่พยาบาลจะต้องออกกันเอง ถ้าต้องการที่จะมาทำงานที่เดนมาร์กและเป็นเงินที่จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้คือ

1. การที่จะมาเดนมาร์กนั้นพยาบาลต้องเสียค่าเครื่องบินเดินทางไปกลับเอง และตั๋วการเดินทางต้องเป็นตั๋วปีและต้องเดินทางกับสายการบินไทยถึงแม้จะ
มีค่าใช้จ่ายแพงแต่ก็อบอุ่นเพราะเป็นสายการบินของไทยเราพูดภาษาเดียวกัน
เพราะต้องเดินทางเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมงในการนั่งเครื่องบินและเป็นสายการบินตรง
ซึ่งเป็นค่าเดินทางที่โรงพยาบาลไม่ยอมออกค่าเดินทางให้เพราะพยาบาลต่างชาติทุก
คนที่เข้ามานั้นไม่ว่าจะมาจากสวีเดน นอร์เวย์ โปแลนด์ หรือที่อื่นๆเขาก็ออกค่าใช้จ่ายกันเอง ทางบริษัทขอให้ทางโรงพยาบาลออกให้ แต่ทางรพ
.ไม่มีงบให้เพราะถ้าออก
ให้ประเทศอื่นก็ต้องเรียกร้องเหมือนกัน และเงินเดือนก็ได้เท่ากับพยาบาลที่นี่
ไม่ได้แตกต่างจากกันเลย และนี่คือค่าใช้จ่ายแรกที่ต้องหักออกจากเงินตัวนี้

2. การเดินทางมาทำงานที่เดนมาร์ก การที่จะออกมาจากเมืองไทยและเข้ามา
ที่เดนมาร์กนั้นมีตั๋วเครื่องบินแล้วยังไม่พอจะต้องเรียกร้องการขอทำวีซ่า
ที่สถานทูตเดนมาร์กที่เมืองไทยเพื่อเดินทางเข้ามาอยู่ในเดนมาร์ก
และค่าการทำวีซ่านั้นก็อยู่ในวงเงินนี้

3. การเดินทางมาเดนมาร์กเมื่อได้วีซ่าแล้วมีตั๋วแล้ว จะต้องมีประกันสุขภาพ และประกันชีวิตซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่จะเดินทางมาเดนมาร์กหรือเข้าสหรัฐก็ตาม
จะต้องมีเพราะเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก
ซึ่งครอบครัวก็ไม่สามารถออกให้ได้ ฉะนั้นเป็นกฎหมายที่บังคับไว้เรื่อง
การเดินทางเข้ามาในสแกนดิเนเวีย และที่ต้องเสียเพราะเรายังอยู่ในช่วง
ที่ทดลองงานและยังไม่ได้รับการบรรจุ และการประเมินผลเรื่องใบประกอบ
วิชาชีพถาวร เพราะทุกคนมีโอกาสแก้ตัวได้ในระยะเวลา
1 ปีครึ่งถ้าไม่ผ่านต้อง
ได้รับการแนะนำใหม่เรื่องการทำงาน แต่คงไม่มีพยาบาลคนไหนที่ไม่ผ่านเท่า
ที่มีประสบการณ์มา เพราะพยาบาลไทยเป็นพยาบาลที่มีชื่อเสียงในเรื่องการ
ดูแลเอาใจใส่คนไข้ และเรื่องความขยันในการทำงาน การช่วยเหลือเพื่อน
ร่วมงานและอื่นๆ ถ้ามีก็คงแทบไม่พบเลยหรือว่าคงแย่มาก แต่
พยาบาลที่จะมาได้นั้นคงต้องผ่านการสัมภาษณ์มาเป็นอย่างหนักแล้ว
ไม่ใช่ว่าใครมาก็ได้พี่ไม่ต้องการค่ะ ถ้าไม่เป็นตัวของตัวเองและไม่มีคุณภาพเพียงพอพี่ก็ไม่
ให้ผ่านมาทางบริษัทพี่

เพราะพี่ไม่ได้ต้องการจำนวนพยาบาลมากๆที่จะมาทำงานให้พี่ แต่สู้ให้พี่เอาพยาบาล
ที่มีคุณภาพและตั้งใจจริงในการที่จะมามีชีวิตอยู่ในต่างแดนและพร้อมที่จะต่อสู้เพื่ออนาคต
ที่ดีและเพื่อการพัฒนาตัวเองให้กว้างไกลกว่าเดิมพี่ก็จะสนับสนุน เพราะพี่ไม่ได้ต้องการ
ที่จำนวน แต่พี่ต้องการที่คุณภาพค่ะ และได้เป็นชื่อเสียงให้พยาบาลไทยและคนไทยที่อยู่ที่นี่และ
ประเทศชาติเราด้วยค่ะ

ก่อนมาจะต้องมีการเทรนงานและการเรียนการสอนเรื่องภาษาขั้นเริ่มต้น
การใช้ศัพท์แพทย์และศัพท์ต่างๆที่ใช้ในรพ
. และการอ่าน chart
ประวัติคนไข้การดูคำสั่งของแพทย์ และการเขียน
Report หรือการให้ Report การสอนวิชาการหรือให้ความรู้กับคนไข้และญาติ การสอนวิชาการพยาบาลและปรัชญา
และอื่น
พร้อมค่ากินค่าอยู่ในขณะที่มาเรียนอยู่ในนั้นหมด และที่สำคัญคือการฝึกงานให้ของพี่ที่ให้กับพวกเราพร้อมการเรียนการสอน เพื่อให้พวกเราได้เข้ากับพยาบาลที่เดนมาร์กได้ง่ายกับการทำงาน
และการได้มาซึ่งใบประกอบวิชาชีพถาวร ถ้าจะต้องมาจ่ายเรื่องค่าเดินทางและค่าสอบวิชาการและค่าเสียเวลาหลายๆอย่างน้องๆ
คงไม่มีเงินออกให้แน่เพราะค่าตัวพี่แต่ละชั่วโมงนั้นแพงมาก เงินเดือนพี่ที่ได้ทุกวันจากการทำงานผ่านบริษัทพี่นี้คือเดือนหนึ่งตกประมาณ
ล้านกว่าบาทคิดว่าน้องๆคงออกให้ไม่ได้แน่ แต่ถ้าจะถามว่าแล้วทำทำไม
ที่ทำก็คือเห็นว่าเป็นการทำงานที่ท้าทาย
ในการเอาพยาบาลเข้ามาโดย
ไม่ต้องผ่านการแต่งงานกับคนเดนมาร์ก
เพราะการที่พยาบาลอื่นๆเข้ามานั้นต้องแต่งงานกับคนเดนมาร์กถึงจะมาได้
ถ้า
ได้สามีดีก็ดีไป แต่ถ้าได้ที่แย่ก็ซวยไปเพราะต้องมาทนทุกข์ทรมานเป็นนานแสน
นานกว่าจะได้ใบอยู่ที่ถาวร ถ้าเกิดสามีแกล้งขึ้นมาหย่าร้างก่อนได้ใบอยู่อีกสองวัน
ก็ซวยไป เพราะตัวอย่างมีมาเยอะ หรือไม่ก็ถูกขับออกนอกประเทศถ้าไม่ทำอย่าง
ที่สามีพูดถ้าอยู่ในกรณีที่จำยอม เพราะมาแล้วและเราต้องเป็นเบี้ยล่างให้ทุกอย่างเพื่อการให้ได้อยู่ได้และกว่าจะอยู่ในประเทศเขาได้ ต้องมีกำหนดอยู่ให้ครบ
7 ปีถึงจะได้สิทธิและเสรีภาพอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นี่คือสิ่งที่พยาบาลที่จะผ่านมาทางบริษัทของพี่ไม่ต้องคิดกันเรื่องนี้เพราะพยาบาลนั้นๆ
เมื่อทำงานครบกำหนด ๕ ปีแล้วก็มสามารถเรียกร้องขอใบอนุญาตอยู่ที่เดนมาร์กอย่าง
ถาวรได้ แต่ครอบครัวจะต้องอยู่ให้ครบ ๗ ปีก่อนถึงจะมีสิทธิอยู่ได้ และครอบครัวก็สามารถตามเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเพราะ
เป็นกฎหมายยกเว้นให้กับคนต่างชาติที่มารับราชการเป็นพยาบาลหรือแพทย์อยู่ที่เดนมาร์ก
และก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับพยาบาลหรือแพทย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง เปิดโอกาสให้กับคนที่มีความสามารถในการพยาบาลแต่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง แต่ขยันก็มีโอกาสได้เหมือนกับคนอื่นเขาอย่างที่เคยนึกและฝันมา เพราะการที่จะไปเป็นพยาบาลที่เมืองนอกส่วนมากจะเป็นไปได้เฉพาะบุคคลที่เก่ง
ทางด้านภาษาอังกฏษเท่านั้น เก่งยังไม่พอจะต้องสอบได้ใบประกอบวิชาชีพที่ทาง
ประเทศนั้นๆกำหนดให้เท่านั้นใน
การสอบว่าจะต้องสอบผ่านอะไรบ้าง ถึงจะมีสิทธิในการเข้าทำงานดังที่พยาบาล
หลายๆคนได้ประสบมาแล้วด้วยตัวเอง บางคนอยากไปสหรัฐถึงขั้นลาออกจากราชการ และทำการสอบแต่ก็ไม่ผ่านและต้องเข้าทำงานที่อื่นที่ไม่ใช่ระบบของรัฐ

ที่ทางเดนมาร์กให้โอกาสกับพยาบาลต่างชาติเข้ามาทำงานอยู่ในตอนนี้เพราะพยาบาล
ขาดแคลนมาก และการเข้ามาเป็นพยาบาลตอนนี้ค่อนข้างที่จะง่ายกว่าสมัยที่พี่เข้ามา เพราะทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมดตั้งแต่ศูนย์ เพราะพยาบาลสมัยนั้นต้องเรียนรู้และ
สอบเข้าเรียนใหม่ เพราะตลาดแรงงานไม่มีปัญหาในการขาดแคลนพยาบาล มีคนไทยหลายๆคนที่จบมาและเคยอยู่ในตำแหน่งที่สูงๆมาแล้ว บางคนต้องมา
ทำความสะอาดแทน และบางคนก็เป็นแม่บ้านหรือหางานอื่นทำเท่านั้น

การมาบรรจุเป็นข้าราชการในเดนมาร์ก ทางการจะหาที่อยู่ให้เพราะจะได้ไม่ต้อง
เดือดร้อนในการค้นหาที่อยู่ เพราะเรามาทำงานและยังไม่รู้จักสถานที่ดี และการที่จะ
ไปหาที่อยู่เองนั้นคงยากมาก ฉะนั้นเป็นเรื่องของทางการที่จะทำการจัดหาที่พักอาศัย
และที่เรียนของบุตรให้ค่ะ แต่ค่าที่พักนั้นต้องออกกันเอง เพราะเงินเดือนเราก็ได้เท่ากับ
พยาบาลที่เดนมาร์ก และถ้าเขามาออกค่าที่พัก ค่ากินให้เราเขาคงไม่จ้างเราหรอกค่ะ และตอนนี้ก็มีพยาบาลของเยอรมันเข้ามามากแล้ว พร้อมที่จะมาทำงานที่เดนมาร์ก ฉะนั้นถ้าเดนมาร์กเป็นประเทศที่แย่ภาษีแพง ก็คงไม่มีใครที่จะดิ้นรนมาทำงาน และต้องการมาอยู่ที่เดนมาร์กเพราะประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีสวัสดิการให้กับประชาชนที่สูง และประชาชนก็ไม่บ่นถึงแม้ว่าจะจ่ายภาษีแพงสักนิดกว่าประเทศอื่นแต่ก็ไม่ต้องไปกังวล

เกี่ยวกับเรื่องใดๆทั้งสิ้นว่าจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาตัวถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา และถ้าแก่ใครจะเลี้ยงเรา ฯลฯ

สิ่งที่พี่อยากแนะนำพี่ๆและน้องๆพยาบาลไทยที่กำลังจะตัดสินใจเข้ามาทำงานที่เดนมาร์ก
หรือไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็มีดังต่อไปนี้ค่ะ

1. ให้ถามตัวของเราเองเสียก่อนว่าเราพร้อมแล้วหรือยังที่เราจะมามีชีวิตอยู่ที่เมืองนอก การมาทำงานที่ต่างประเทศเราต้องพร้อมทั้งกายและใจ ถ้ากายพร้อมแต่ใจไม่พร้อมอย่า
ดิ้นรนเลยค่ะ เพราะการมาทำงานที่ต่างประเทศนี่เราต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ เริ่มที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆและต้องให้เวลากับตัวเองที่จะเรียนรู้ กล้าได้กล้าเสียและพร้อมที่จะ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมที่จะเป็นผู้ตามเพราะเรายังไม่เป็น ไม่ใช่ว่าเป็นผู้นำในเมืองไทยแล้วต้องมาเป็นผู้นำที่ต่างประเทศในทันที และไม่ยอมรับว่าตัวเองจะต้องได้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนเดิม คือเคยเป็นผู้นำมาก่อนแต่ไม่ยอมลงไปเป็นผู้ตามหรือพยาบาลธรรมดา เมื่อเข้ามาทำงาน
ที่เดนมาร์ก จะต้องเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆและจะต้องปรับตัวเองหลายๆอย่างเพื่อที่จะเรียนรู้การ
เป็นพยาบาลที่เดนมาร์ก ว่าเขาทำกันอย่างไร เพื่อการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เป็นพยาบาลที่เทียบเท่าต่างชาติเขาในการตอบโต้ด้านวิชาการกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ผู้ร่วมงานเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย
ในการแก้ไขและป้องกันโรคนั้นๆ

2. การมาทำงานที่เมืองนอกเราเป็นตัวของตัวเองไหม เรารู้ไหมว่าตัวเราอยู่จุดไหน

การมาทำงาน ใจอยากมาแต่ไม่กล้าเพราะกลัวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวว่าจะทำไม่ได้
หรือสู้เขาไม่ได้ ท้อถอยตั้งแต่แรกแม้ยังไม่เห็นอะไร หรือทดลองอะไรก็

ตาขาวไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นถามตัวเองว่าเราน่ะพร้อมแล้วหรือที่จะเดินทางมาทำงานอยู่
ในต่างแดน เพราะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา เราจะต้องต่อสู้และดิ้นรนด้วยตัวของเราเอง ทุกอย่างถึงแม้ว่าตอนแรกๆจะมีพี่เลี้ยงที่คอยเอาใจใส่ดูแลด้านการฝึกให้ แต่ในอนาคต
เราก็ต้องพึ่งตัวเราเอง
เพราะไม่มีใครที่จะคอยติดตามป้อนอาหารให้เราตลอดเวลา
เพราะทุกคนต้องพึ่งตัวเอง ถึงแม้จะมีเพื่อนฝูงก็จริงอยู่แต่การที่เราจะไปรบกวน
เขาตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้เพราะ
ทุกคนมีภาระหน้าที่ของตัวเองทางด้านครอบครัว และหน้าที่การงาน
เราเท่านั้นที่
จะต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
และนั่นก็จะเป็นหนทางในการไปสู่ความสำเร็จในอนาคต เพราะการเป็นตัวของตัวเองและการเชื่อมั่นในตัวเองจะเป็นผลงานที่ทำให้เพื่อนพยาบาลและแพทย์ชื่นชมเราเพราะเราสามารถคิดและตัดสินใจทำอะไรเองได้โดยไม่ ต้องลังเลในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ฉุกเฉิน

3. สภาพภูมิอากาศไม่เหมือนบ้านเรา มีทั้งร้อนและหนาวเหน็บ สภาพแวดล้อม

ที่อยู่อาศัย ประชาชนและการที่จะต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในช่วงแรกเพราะ
ครอบครัวยังไม่ได้มาอยู่ด้วย การอยู่ที่เมืองไทยจะออกไปทำอะไรที่ไหนก็ง่าย
เพราะอากาศอำนวย แต่ที่ต่างประเทศการที่จะไปไหนมาไหนแต่ละทีต้องมี
การนัดหมายล่วงหน้า เพราะทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำหรือไม่ก็ต้องมีเวลาให้กับ
ครอบครัว เพราะฝรั่งครอบครัวต้องมาก่อนเพื่อนฝูง และต้องมีเวลาให้ในช่วงวันหยุด เวลาที่นอกเหนือนั้นแล้วเพื่อนๆถึงจะมาหาได้ การเดินทางไปไหนมาไหนในช่วงฤดูหนาวก็ต้องมีการติดขัดเรื่องหิมะตกหนัก
หรือถนนลื่นเพราะน้ำแข็งเกาะ ค่าครองชีพสูง แต่คุณค่าของความเป็นคน
และการเคารพในตัวบุคคลมีมากกว่า การเคารพในสิทธิและการไม่ล่วงล้ำ
ขอบเขตของผู้อื่นมีมากกว่าในเมืองไทย การสนับสนุนให้ผู้ที่มีความสามารถ
ได้รับความก้าวหน้าและสนับสนุนให้บุคคล
นั้นเกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน และรักในงานของตัวเองมากขึ้น
การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องผลงานไม่มี ใครมีความรู้เท่าไหร่ให้นำ
ออกมาเสนอและได้รับการสนับสนุน และชื่นชมในการทำงานนั้นๆอย่างออก
หน้าออกตาไม่ใช่ลูกน้องทำแต่ผลงานที่ออกมานายได้หน้าเหมือนกับพยาบาล
ไทยหลายๆคนได้ประสบมาจากการทำงานที่เมืองไทย เกี่ยวกับเรื่องการเสนอผลงานบางอย่างที่ไปทำการตรวจสอบหรือทำการวิจัยมา เรืองการเลียเจ้านายเพื่อเอาหน้าและการคอรัปชั่นนั้นหาได้ยากมากที่เดนมาร์ก เพราะเป็นประเทศที่เล็กและการปกครองทั่วถึง ใครผิดว่าไปตามผิดไม่มีพรรคหรือพวก

4. เราพร้อมกันหรือยังที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองให้เป็นผู้ที่กล้าแสดงออกให้มากขึ้น พร้อมหรือยังที่จะมากอบโกยเอาความรู้และเก็บเกี่ยวการเป็นพยาบาลเมืองนอก
ที่เป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะตอบโต้ด้านวิชาการและยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง
เพื่อปกป้องคนไข้ และนำความรู้ที่ได้รับมามาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของ
การพยาบาลไทยที่ยังอยู่ใต้อำนาจของแพทย์โดยที่ไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย
เพราะกลัวการถูกกลั่นแกล้งในการถูกไล่ออกจากงาน พร้อมแล้วหรือยังที่เราจะเป็นทนายเพื่อที่จะรักษาสิทธิให้กับคนไข้โดยการตอบ
โต้ด้านวิชาการพยาบาลของเราอย่างมีเหตุและผลและมั่นใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา และได้รับการยอมรับจากแพทย์เพื่อนร่วมงานของเราเพื่อประโยชน์ที่ดีต่อคนไข้ใน
อนาคตที่เราต้องการที่จะกลับมาเมืองไทยเพื่อพัฒนาการพยาบาลของไทยเราให้ ดีขึ้นกว่าเดิมในด้านการตอบโต้ด้านวิชาการกับแพทย์เพื่อสิทธิของการเป็น
พยาบาลของเรา

สิ่งที่พี่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นสิ่งที่พี่ๆน้องๆพยาบาลไทยทุกคนที่จะมาทำงานเป็น
พยาบาลที่เดนมาร์กนั้น ควรนำไปตรึกตรองอย่างรอบคอบสำหรับคนที่จะ
เดินทางมาที่เดนมาร์ก
ถ้าใครที่คิดว่าพร้อมที่จะมาและทำได้ให้มา แต่ใครก็ตามที่ไม่แน่ใจหรือทางบ้านไม่ให้มาแต่อยากมา ขอร้องเถอะค่ะคุณมาก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ในอนาคตเพราะคุณจะมา
สร้างปัญหาให้คนอื่นปวดหัวมากกว่า เพราะเดี๋ยวก็คิดถึงบ้านอยากกลับบ้าน
เพราะจากบ้านไปไหนไม่ได้ อย่ามาเลยค่ะขอให้อยู่ที่เมืองไทยเพราะเรา
ไม่ตายหรอกค่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น แต่ถ้าต้องการที่จะมา
มีประสบการณ์ในชีวิตและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น มาเถอะค่ะพี่สนับสนุน
แต่ถ้าลังเล อย่ามาเลยค่ะ เพราะชีวิตในการอยู่เมืองนอกของเราจะไป
ไม่รอด

สุดท้ายนี้พี่ตูนคิดว่าการนำเอาประวัติส่วนตัวของพี่มาเปิดเผยให้น้องๆพี่ได้รับ
รู้กันและเป็นการได้เรียนรู้ชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เป็นนักสู้และการประสบ
ผลสำเร็จในการทำงานด้านต่างๆ และการเป็นตัวของตัวเองคงเป็นแรงจูงใจให้กับ
น้องๆและพี่ๆที่ต้องการที่จะมาดำเนินชีวิตในต่างแดนได้ไม่มากก็น้อย เรื่องชีวิตครอบครัวนั้นคงเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้เพราะเป็นตัวของตัวเองเกินไป แต่ก็ภูมิใจที่ยืนหยัดด้วยเท้าของตัวเองได้ในต่างแดนทั้งที่ไม่มีญาติพี่น้องหรือ
ใครๆอยู่เคียงข้างเลยแม้แต่คนเดียว พี่หวังว่าความอดทนและอดกลั้นคงเป็น
ตัวอย่างที่ดีกับพี่ๆและน้องได้ไม่มากก็น้อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่ไม่อับอายในสิ่งที่เป็นจริงเพราะความจริงเป็นสิ่ง
ที่ไม่ตายและเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากกว่าการกลัวว่าจะอับอายขายหน้าในการ เล่าชีวิตที่แท้จริงให้ใครอีกหลายๆคนได้ยินและได้ฟัง เพราะอย่างน้อยก็ได้รับคำติหรือคำชมเท่านั้นเพราะคนเรานานาจิตตัง พี่ยืนหยัดด้วยตัวเองและไม่กลัวในสิ่งที่พูดไปเพราะพี่รู้ว่าพี่ยืนอยู่จุดไหน ขอให้น้องๆและพี่ๆที่จะเดินทางมาทำงานที่เดนมาร์กร่วมกันนั้นจงประสบผลสำเร็จ
ในชีวิตหน้าที่การงานของตัวเอง และครอบครัวค่ะ

ขอบคุณมา ณ ที่นี้

ลำพา โฮมห์